รีวิวหนังnetflix The Guilty
รีวิวหนังnetflix The Guilty โจ เบย์เลอร์ เจ้าหน้าที่ประจำสายด่วนฉุกเฉิน 911 ที่ต้องมาเข้ากะปฏิบัติหน้าที่เพียงคนเดียวในวันหยุดของทีม เขาได้รับสายแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งที่อ้างว่ากำลังถูกลักพาตัว ทำให้เขาต้องหาวิธีและหนทางในการช่วยเหลือเหยื่อสาวผู้นี้ แต่ปรากกฏว่าเหมือนอะไร ๆ ไม่ชอบมาพากล ซับซ้อนและไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเข้าใจ เขาจึงต้องพยายามสืบหาความจริง และเขาก็ยิ่งเผชิญหน้ากับความจริงที่ของตัวเองอีกด้วย เว็บดูหนัง
ได้เวลามาเติมเต็มความระทึกแบบกัดกินใจกันสักหน่อย กับหนังระทึกขวัญเข้มข้นที่เป็นงานรีเมคจากหนังเดนมาร์กชื่อเดียวกัน นี่คือ “The Guilty” หนังที่มาพร้อมกับการเล่าเรื่องแบบ Stand Alone โฟกัสที่นักแสดงเพียงคนเดียวตลอดทั้งเรื่อง กับสถานการณ์รุมเร้าที่ค่อยๆ บีบคั่นผู้ชมในทุกนาที อาจจะฟังดูพล็อตซ้ำซาก แต่หนังเรื่องนี้โดดเด่นที่การเล่าเรื่องและต้องใช้ทักษะการฟังเสียงเป็นพิเศษ
น่าจะเป็นการหวนกลับมาทำหนังแนวดราม่าตำรวจที่เคยสร้างชื่ออีกครั้งของผู้กำกับผิวดำคนดังอย่าง อังตอน ฟูกัว (Antoine Fuqua) ที่หลายคนก็น่าจะยังคงจำได้ดีอย่าง ‘Training Day’ (2001) หรือเรื่องหลังหน่อยก็ ‘Brooklyn’s Finest’ (2009) และน่าจะเป็นครั้งแรกที่เขามาทำหนังลงบริการสตรีมมิงชื่อดังอย่างเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งก็เป็นความร่วมมือที่น่าสนใจทีเดียว
แม้จะน่าเสียดายนิดหน่อยที่ฟูกัวไม่ได้ทำหนังออริจินัลลงเน็ตฟลิกซ์ แต่เป็นนำหนังเดนมาร์กชื่อเรื่องเดียวกันของ กุสตาฟ โมลเลอร์ (Gustav Möller) เมื่อปี 2018 มารีเมก แถมบางคนยังอาจนึกไปถึงหนังอย่าง ‘The Call’ (2013) ที่ ฮัลลี เบอร์รี (Halle Berry) แสดงนำในบทพนักงานประจำสายด่วน 911 เข้าเสียอีก เว็บดูหนังฟรี
แต่เอาเข้าจริงในขณะที่ ‘The Call’ จะนำเสนอในแนวทางธริลเลอร์ชัดเจนมีการตัดสลับเหตุการณ์คู่ขนานในที่ตัวเอกทำงานและภายนอกที่เป็นที่เกิดเหตุ ‘The Guilty’ กลับเด่นที่ธีมที่ต้องการเล่า โดยเอารูปแบบของดราม่าธริลเลอร์มาเป็นอาภรณ์เสียมากกว่า และความเด็ดดวงที่สุดก็คงไม่พ้นการที่หนังท้าทายนักแสดงและผู้ชม ด้วยการให้เห็นภาพแค่ในห้องทำงานของตัวเอกเป็นหลักโดยแทบไม่เคยตัดภาพออกไปยังโลกภายนอกเลยด้วย
ในขณะเดียวกันโจ เบย์เลอร์ ต้องประสานงานให้ตำรวจเข้าไปช่วยเหลือเด็ก 2 คนที่ ซึ่งพี่สาวกำลังอยู่ในอาการหวาดกลัวอยู่ในบ้านกับน้องชายวัยแบเบาะ แถมยังต้องประสานงานให้เพื่อนตำรวจอีก 1 คนเข้าไปค้นบ้านผู้ชายที่เป็นผู้ต้องสงสัยอีกด้วย
นี่คือสถานการณ์สุดยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นกับโจ เบย์เลอร์ เจ้าหน้าที่รับสายด่วน 911 เขาต้องหาวิธีช่วยเหลือทุกคนให้ได้ โดยที่ไม่สามารถเห็นสถานะการอะไรเลย ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหน้าตาของหญิงสาวที่โทรมาขอความช่วยเหลือเป็นอย่างไร เขาต้องทำงานแข่งกับเวลาซึ่งทุกวินาทีที่เสียไปนั้นมันหมายถึงชีวิตของหญิงสาวที่กำลังจะหมดลงไป
สิ่งที่ดีงามของเรื่องจริงๆ คือการแสดงอันทรงพลังของ เจค จิลเลนฮอล กับบทเจ้าหน้าที่ 911 เฉพาะกิจ ซึ่งหนังเผยให้เห็นเบื้องหลังงานนี้แบบละเอียดกับหน้าที่ความรับผิดชอบที่หนักมากกับการรับสายทั้งป่วนทั้งด่วนจริง ทั้งยังต้องใช้จิตวิทยาพูดคุย วาทะศิลป์แบบนักเจรจาเกลี้ยกล่อม เซนส์ส่วนตัวประเมิณความร้ายแรงของสายที่โทรเข้ามา เพราะนี่คือการรับผิดชอบชี้เป็นชี้ตายชีวิตคนในห้วงเวลานั้นได้เลย แต่ที่กล่าวมากลับไม่ได้อยู่ในตัวบท โจ เบย์เลอร์ ที่เจคเล่นเลย ตัวหนังเปิดเรื่องมาก็ทำให้เราเห็นความไม่พร้อมทั้งในแง่ทัศคติกับความเป็นมืออาชีพในงานที่ทำ
รีวิวหนังnetflix The Guilty
โจรังเกียจงานนี้ออกแนวเบื่อทนอยากหลุดพ้นออกไปเร็วๆ จนพาลถึงเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาถามไถ่ดีๆ ก็ถูกตะคอกกลับไป เขามีความเครียดส่วนตัวจากเรื่องบางอย่างที่ตัวเรื่องเผยให้เห็นในช่วงแรกกับสายจากนักข่าวโทรมาหาแต่เขาไม่ยอมรับและคุยด้วย ก่อนที่หนังจะเปิดปมชีวิตของเขาว่า โจแยกกันอยู่กับภรรยามา 6 เดือน มีลูกสาวตัวน้อยที่เขาคิดถึงมาก หนังฟรี
ตัวเรื่องเล่าผ่านการแอบโทรหาภรรยาระหว่างทำงาน จนกลายเป็นการทะเลาะกับภรรยาในเวลาต่อมา เป็นการเผยให้เห็นว่าตัวละครนี้สั่งสมความเครียดมานานแล้วจนใกล้แบกรับไม่ไหวแล้ว แต่เขากลับต้องมาทำงานรับสายที่ปลายทางหวังว่าจะให้ช่วย เป็นอะไรที่ค่อนข้างย้อนแย้งกันมากพอสมควร และตัวเรื่องก็ใช้จุดนี้แหละผ่านการแสดงของเจคที่ทั้งเรื่องเต็มไปด้วยความเครียดจนระบาย+ระเบิดอารมณ์ใส่เจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่นที่เขาติดต่อด้วยให้ช่วยแต่ไม่ทันใจ ซึ่งผู้ชมก็ต้องรู้สึกว่าหมอนี่ไม่ใช่ตัวเอกดีๆ เท่าที่ควร
แน่นอนว่า “เจค จิลเลนฮาน” แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อยู่หมัด ด้วยการแสดงที่เป็นมืออาชีพของเขา ตลอดเวลาเกือบ 90 นาทีของหนัง คนดูจะไม่ได้เห็นอะไรเลย มีแค่ซึบซับเหตุการณ์ผ่านเสียงและภาวะทางอารมณ์ของตัวละครที่ชื่อ โจ ไปตลอดทั้งเรื่อง นี่อาจจะไม่ใช่การเล่าเรื่องที่แปลกใหม่อะไรเลย แต่สถานการณ์ในหนังก็สามารถทำให้คนดูคล้อยตามและสนุกไปกับท้องเรื่องได้ไม่ยาก
การถ่ายทอดและตีความคาแรกเตอร์ตัวละครนี้ของ เจล จิลเลนฮาน เต็มไปด้วยมิติที่น่าสนใจดี แม้ว่าบุคลิกของเขาจะถูกเป็นคนโผงผางและอารมณ์ร้อนตามสถานการณ์ แต่เขาก็ยังมีมุมความอ่อนโยนและพยายามทำความเข้าใจความรู้สึกคนอื่นๆ เจคได้ครองบทนี้ออกมาได้ดี เป็นการแสดงที่ไม่ได้เยอะล้นเกินไป แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เบาบางเช่นกัน
หนังเรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับ “อองตวน ฟูควา” ที่ได้ยินว่าเป็นการทำงานในช่วงโควิด-19 กำลังแพร่ระบาดหนัก และการถ่ายทำต้องใช้วิธีการทำงานแบบ New Normal ที่ต้องรักษาระยะต่อกันด้วย ทำให้นักแสดงกับผู้กำกับต้องอยู่คนละที่กันระหว่างการทำงาน และประสานงานสื่อสารกันผ่านวิทยุสื่อสารใน 2 วันที่ต้องออกกองถ่ายทำหนังเรื่องนี้
ทุกอย่างที่เราได้รับรู้จะผ่านเสียงการสนทนาที่เราต้องจินตนาการเอาเองว่าปลายสายจะมีบุคลิกอย่างไร มีความสัมพันธ์แบบใดกับตัวเอก และตอนนี้เหตุการคับขันนั้นดำเนินไปอย่างไรแล้ว โดยทั้งนี้ตัวช่วยของเราในการรับรู้เรื่องราวก็มีเพียงสีหน้าท่าทาง อารมณ์น้ำเสียงของตัวเอกเท่านั้น หนังใหม่
ความท้าทายที่ต้องแบกหนังเพียงลำพังแบบนี้ น่าจะเป็นของโปรดสำหรับนักแสดงสายฝีมืออย่าง เจก จิลเลนฮาล (Jake Gyllenhaal) เลยทีเดียว ด้วยก่อนหน้าไม่นานเขาก็เพิ่งมีผลงานชั้นดีร่วมกับฟูกัวมาแล้วในหนังหมัดมวยดราม่าเรื่อง ‘Southpaw’ (2015) พอมาเรื่องนี้เขาต้องรับบท โจ เบย์เลอร์ ตำรวจที่มีปัญหาชีวิตบางอย่างจนทำให้เขาดูเคร่งเครียดเหมือนคนสติแตกอยู่ตลอดเวลา
แน่นอนว่าการที่หนังได้ทำให้มีข้อจำกัดมากขนาดนี้ ก็สามารถชักจูงคนดูให้คล้อยตามทุกสิ่งทุกอย่างของหนังไปได้ และทุกครั้งที่ตัวละครโจ เบย์เลอร์ตัดสินใจทำอะไรไปเราก็คอยหรือเห็นดีเห็นชอบกับการตัดสินใจไปด้วย และเมื่อถึงเวลาที่หนังหักมุม เราจึงรู้สึกประหลาดใจทุกครั้ง และหนังยังหักมุมหลายครั้งตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งในแง่การหักมุมไม่ว่าจะเป็นการหักมุมกลางเรื่องหรือหักมุมช่วงท้ายเรื่องนั้นถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว
จากนั้นหนังก็สรุปว่า หญิงสาวที่โทรมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ 911 นั้นมีอาการทางจิต เพิ่งออกจากโรงพยาบาลจิตเวช รักษาตัวด้วยการกินยา ซึ่งค่ายานั้นสูงมากจนสามีของเธอไม่มีเงินมาจ่ายค่ายา และให้เธอหยุดการใช้ยา
ทั้งสองสามีภรรยาคู่นี้มีลูก 2 คน ลูกสาวคนโตวัยประมาณ 5-7 ขวบ และลูกชายคนเล็กอีก 1 คนอยู่วัยทารก เนื่องจากภรรยาหยุดการกินยาระงับประสาท จึงทำให้เธอคิดว่าลูกชายคนเล็กที่ร้องไห้มีงูอยู่ในท้อง เธอจึงทำการกรีดท้องลูกชายคนเล็กเพื่องูออก และเมื่อสามีเห็นภรรยาทำเช่นนั้นจึงรีบพาเธอหนีไป ปล่อยทิ้งให้ลูกสาวอยู่กับน้องของเธอ ดูหนังฟรี
ตัวภรรยาไม่อยากถูกขังซึ่งมีความหมายว่าเธอไม่อยากกลับเข้าไปในโรงพยาบาลจิตเวช ส่วนตัวของสามีก็ไม่อยากถูกตำรวจจับเพราะเคยมีคดีเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย ทั้งสองจึงจำเป็นต้องขับรถหนีออกไป
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าเขาเป็นตัวเอกที่ยังมีดีอยู่คือการพยายามช่วยเคสนี้อย่างเต็มกำลัง ในขณะที่เคสก่อนตอนเปิดเรื่องสั้นๆ แสดงให้เห็นว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ซึ่งเรื่องนำเสนอความบ้าของโจแบบทะลุเพดานเกินหน้าที่โอเปอเรเตอร์อย่างมีปมสำคัญ โยงถึงตัวลูกสาวกับภรรยาที่เขาต้องแยกทางกันมาเป็นแรงผลักดันให้เขาให้ความสำคัญกับเคสนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย ขนาดยอมทำงานเกินเวลา อินถึงขั้นเครียดร้องไห้ตามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเจคแสดงได้สุดยอดมาก สมบทบาทจนน่าทึ่ง โดยกล้องก็เน้นโคลสอัพให้เห็นสีหน้าอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของเขาตลอดเวลา
ทำให้เรื่องราวรับสาย 911 แม้บทจะถูกเขียนมาดีมีความสนุกอยู่แล้วในระดับที่ต้องชม แต่ถ้าไม่ได้การแสดงของเจคเรื่องราวก็คงไม่ถูกยกระดับดีขึ้นได้ขนาดนี้แน่ๆ โดยเฉพาะฉากระเบิดอารมณ์สุดท้ายที่พรั่งพรูความในใจทุกอย่างของเขาออกมากับสายที่คุย เป็นอะไรที่สุดยอดมากจริงๆ แล้วก็ต่อด้วยการเฉลยเรื่องราวทั้งหมดที่เปลี่ยนชีวิตทั้งหมดของเขาไปอย่างสิ้นเชิง การแสดงของเจคทำให้เราอินเชื่อตามได้จริงๆ ว่าคนๆ นี้ยอมพังทลายตัวตนที่ผ่านมาในแง่ไม่ดีไปจนหมดสิ้น เป็นการไถ่บาปครั้งใหญ่ปิดท้ายเรื่องที่อิงไปถึงเรื่องราวจริงที่เกิดขึ้นกับตำรวจทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งเป็นแมสเซจหัวใจสำคัญที่สุดของเรื่องนี้เลย ดูหนังออนไลน์
และการที่ผู้ชม (รวมถึงเบย์เลอร์) ต้องคิดไขสถานการณ์ผ่านเพียงเสียงบอกเล่าต่าง ๆ ทางโทรศัพท์เท่านั้น มันก็เลยเป็นรสชาติใหม่ ๆ สำหรับหนังแนวสืบสวน ที่เอาลูกเล่นนี้มาสนองตอบต่อธีมหรือสาระที่ต้องการเน้นย้ำได้อย่างน่าสนใจ น่าเสียดายเพียงว่าการคลี่คลายคดีกับการคลายปมในใจของเบย์เลอร์ที่เป็นธีมใหญ่ของเรื่องมันไม่ได้สอดรับกันนัก คือมันก็พอแถให้ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องเดียวกันสะท้อนซึ่งกันและกันชัด ๆ มันจะสวยกว่านี้แน่นอน
พอดูจบมาถึงเครดิตนักแสดงก็ยิ่งได้ว้าวขึ้นอีก เพราะในบรรดาเสียงทางโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาล้วนมีนักแสดงดังมารับเชิญเช่น อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด (Peter Sarsgaard) และ พอล ดาโน (Paul Dano) เป็นต้น นี่จึงเป็นข้อแนะนำอีกอย่างว่าควรเปิดดูเสียงภาษาอังกฤษไปเลยคุ้มกว่า ส่วนใครมาตอนไหนเป็นตัวละครอะไรบ้าง อันนี้ไว้เป็นความสนุกในการทายและลุ้นของแต่ละคนเองเลยครับ
ในขณะเดียวกันที่เจ้าหน้าที่โจ เบย์เลอร์ รับโทรศัพท์ของหญิงสาวคนนั้น เดิมทีเขาก็คิดว่าเธอถูกลักพาตัวจริง เขาจึงแนะนำเธอทุกอย่างผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งหญิงสาวก็แกล้งพูดว่าเป็นการพูดโทรศัพท์กับลูก แล้วท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่โจ เบย์เลอร์ ก็แนะนำให้หญิงสาวหนีจากชายซึ่งเป็นสามีของเธอด้วยการทำให้รถเสียหลัก รวมถึงใช้วัตถุแข็งตัที่ศีรษะจากนั้นหญิงสาวก็สามารถหนีจากสามีของเธอไปได้
ส่วนเพื่อนตำรวจที่โจ เบย์เลอร์ ส่งให้ไปที่บ้านของสามีหญิงสาวคนนั้น ก็ค้นเจอหลายสิ่งหลายอย่างมากมายโดยเฉพาะใบแจ้งหนี้ ค่ายารักษาอาการจิตเวช เมื่อนำเรื่อง ทั้งหมดมาประมวลเข้ากัน ก็สามารถทำให้โจ เบย์เลอร์ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ และนั่นก็ทำให้รู้ว่าการแนะนำของเขาคือสิ่งที่ผิด
แต่เรื่องก็ดำเนินไปถึงจุดสำคัญที่สุดคือ หญิงสาวเกิดอาการสับสน ไปยืนอยู่บนสะพาน จะกระโดดฆ่าตัวตาย เพราะรู้ตัวว่าเธอทำอะไรกับลูกชาย โจ เบย์เลอร์ จึงต้องหาทางทำให้เธอ หยุดการกระทำนั้น แล้วบอกว่าเขาได้สัญญากับลูกของเธอว่าจะนำเธอไปหาลูก
แต่ไม้เด็ดที่สำคัญที่สุดของหนังก็คือ หนังทำให้เรารู้จักตัวละครโจ เบย์เลอร์ น้อยมากในช่วงต้น เราเห็นว่าเขามีอาการเครียด ถูกนักข่าวตามที่สัมภาษณ์ และการทำงานในวันนี้คือวัน ก่อนที่จะไปขึ้นศาลเพื่อตัดสินคดีที่เขาเคยก่อ ซึ่งเราก็มารู้ในภายหลังว่าที่เขาต้องมาเป็นเจ้าหน้าที่รับสายฉุกเฉินก็หนึ่งก็เพราะว่า ในขณะปฏิบัติงานเป็นตำรวจเขาได้ฆ่าผู้อื่นเสียชีวิต ในระหว่างการตัดสินจึงจำเป็นจะต้องย้ายมาอยู่หน่วยรับโทรศัพท์ของ 911 เพียงชั่วคราว เขาต้องนัดกับเพื่อนผู้เป็นพยานว่าจะต้องพูดอย่างไรเพื่อให้เขาพ้นคดีนี้
ยังไม่พอแค่นั้น หนังเขาก็ยังกระหน่ำให้เห็นว่าตัวละครเอกยังมีปัญหากับภรรยาของเขา จนเป็นเหตุที่ทำให้ต้องแยกกันอยู่
การสร้างเงื่อนไขมากมายเช่นนี้ให้กับตัวละคร มันเป็นการสร้างความกดดันให้กับตัวละคร สร้างความกดดันให้กับคนดู ดังนั้นทุกอย่างมันจึงถาโถมเข้าหาตัวละครโจ เบย์เลอร์ ไปพร้อม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือหญิงสาวที่เขาคิดว่าถูกลักพาตัว การช่วยคนที่โทรเข้ามาขอความช่วยเหลือใน 911 อีกหลายสาย การช่วยเหลือเด็กหญิงและน้องชายที่อยู่ในบ้าน การคุยกับเพื่อนเรื่องการเป็นพยานในชั้นศาล ความเครียดที่กลัวว่าหากศาลตัดสินมาว่าเขาผิด เขาเองจะต้องติดคุก
เราจึงรับรู้ได้เลยว่าตัวละครโจ เบย์เลอร์ ต้องทำงานภายใต้แรงกดดันมากมายขนาดไหน เราอาจมองไม่เห็นหรอกว่าสถานการณ์ทุกอย่างมันคับขันขนาดไหน แต่เราจะรับรู้ทุกอย่างได้เพียงดูจาก สีหน้า ท่าทาง อารมณ์น้ำเสียงของตัวละครเอก ภายในห้องเล็ก ๆ ของหน่วยรับสายฉุกเฉิน 911 เพียงเท่านั้น