รีวิวหนังnetflix LOU
Lou เล่าเรื่องราวของลู หลังจากคิดว่าเธอได้ทิ้งอดีตที่แสนอันตรายไว้เบื้องหลังแล้ว ชีวิตที่เงียบสงบของเธอ กลับเผชิญความวุ่นวายอีกครั้ง เมื่อแม่ผู้สิ้นหวัง มาขอให้เธอช่วยลูกสาวที่ถูกลักพาตัวไป หญิงทั้ง 2 คน ดูหนังฟรี ต้องเสี่ยงชีวิตท่ามกลางพายุลูกใหญ่ที่กำลังโหมกระหน่ำในภารกิจช่วยเหลือที่จะทดสอบขีดจำกัด และเผยความลับอันดำมืดที่น่าตกใจจากอดีตของทั้งคู่ ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
ชื่อในเครดิตที่พอจะฝากความหวังได้ นอกจาก แอลลิสัน แจนนีย์ รีวิวหนังnetflix LOU
แล้วก็คือบริษัทผู้สร้าง Bad Robot ของผู้กำกับ เจ.เจ. อบรามส์ (J.J. Abrams) นี่ละ ที่เจ้าตัวก็อยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างด้วย เพราะไปสะดุดตาเข้ากับโปรเจกต์นี้ ซึ่งเดิมทีอยู่กับพาราเมาต์ แล้วทาง Bad Robot เล็งเห็นว่าหนังมีแววน่าจะประสบความสำเร็จ เลยไปซื้อลิขสิทธิ์มาจากพาราเมาต์แล้วนำมาสร้างเองเพื่อป้อนให้กับ Netflix ส่วน แอลลิสัน แจนนีย์ นั้นอยู่กับโปรเจกต์นี้มาตั้งแต่ประกาศสร้างเมื่อปี 2018 แล้ว พอโปรเจกต์มาอยู่กับ Bad Robot ป้าก็ติดสอยตามมาด้วย ก็นับว่าเป็นความทะเยอะทะยานของทีมผู้สร้างนะครับ ที่กล้าพลิกภาพลักษณ์ของป้าจากนักแสดงสายดราม่ามาพลิกบทบาทเป็นนางเอกสายแอ็กชันดุเดือดเช่นนี้ ซึ่งป้าก็ทำให้ไม่ผิดหวัง ไม่เสียชื่อนักแสดงระดับออสการ์จริง ๆ รีวิวหนังnetflixสร้างน่าดู
ชื่อเรื่อง Lou นั้นคือชื่อของตัวละครของ แอลลิสัน แจนนีย์ ที่เป็นหัวใจหลักของเรื่อง
หนังเปิดเรื่องด้วยการแนะนำให้คนดูรู้จักตัวตนของเธอ ที่เป็นคุณป้าผู้โดดเดี่ยว อยู่บ้านกลางป่ากับแจ็กส์ มาคู่ใจ 1 ตัว งานอดิเรกของเธอคือออกล่าสัตว์ และมีบ้านที่ปล่อยเช่าให้กับ ฮันนาห์ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่คอยดูแล วี ลูกสาวตัวน้อยวัยยังไม่ถึง 10 ขวบ หลังแนะนำตัวละครหลักไม่นาน หนังก็เริ่มโยนปริศนาเข้าใส่คนดู ด้วยการที่ลูปิดบัญชีธนาคาร หอบเงินก้อนใหญ่กลับมาบ้าน
เขียนพินัยกรรมมอบมรดกให้กับฮันนาห์ผู้เช่าบ้านของเธอ จากนั้นเธอก็เตรียมจะปลิดชีพตัวเอง ขณะเดียวกันหนังก็โยนปริศนาที่ 2 เข้ามาทันที กับการปรากฏตัวของชายลึกลับที่บุกมาบ้านฮันนาห์ท่ามกลางพายุฝนในช่วงพลบค่ำ และจับตัววีไป ทำให้ฮันนาห์ต้องเร่มาขอความช่วยเหลือจากที่พึ่งเดียวของเธอ นั่นก็คือลู ทำให้เธอต้องพักกิจกรรมลาโลกของเธอเอาไว้ก่อน
ก็อย่างที่ได้เกริ่นเอาไว้ข้างต้น เพราะหนังเรื่องนี้ได้ตัว “แอลลิสัน แจนนี่” เจ้าของรางวัลออสการ์เมื่อไม่กี่ปีก่อน มายืนหนึ่งและแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อย่างทรงพลัง ปกติเรามักจะเห็นเธอคนนี้สร้างสรรค์ผลงานแนวตลกหน้าตาย ที่เธอทำได้ดีเสมอมา แต่พอมาจับงานดราม่าจัดจ้านก็เป็นอีกแนวที่เธอทำได้เยี่ยม เมื่อต้องมาหยิบจับมีดและปืนดูบ้าง เป็นภาพที่เราไม่ค่อยจะได้เห็นเธอในแบบนี้สักเท่าไหร่ ก็ถือว่าเป็นความแปลกใหม่ในคาแรกเตอร์การแสดงของเธอทีเดียว
แอลลิสันก็ยังสามารถแบกรับหนัง Lou เรื่องนี้เอาไว้ได้อย่างหนักแน่น สไตล์การแสดงแบบน้อยแต่มากของเธอ เสน่ห์การแสดงแนวดราม่าของเธอยังโดดเด่น และการดีไซน์ตัวละครนี้ออกมาในรูปแบบที่เธอไม่ค่อยได้หยิบจับมาก่อน ก็ถือว่าเป็นการทำเซอร์ไพรส์คนดูได้อยู่ไม่น้อย ทำให้เราได้เห็นว่า…เธอก็บู๊เป็น และบู๊ได้ดีอยู่ไม่น้อยทีเดียวนะ แม้ว่าจะไม่ใช้การบู๊แบบจัดจ้านอะไร แต่เป็นการบู๊ที่ผสมผสานอินเนอร์ที่ค่อนข้างประทับใจ
ขณะที่อีกสาวที่สมทบในเรื่องนี้และก็ถือว่าเป็นส่วนที่มาช่วยเติมเต็มให้กับหนังเรื่องนี้ได้ ก็คือ “เจอร์นีย์ สมอลเล็ตต์” ที่เราสามารถไว้วางใจในการแสดงของเธอได้เลย เพราะสไตล์ดราม่านั้น ค่อนข้างจะเป็นแนวถนัดของเธออยู่แล้ว แม้ว่าบทบาทและคาแรกเตอร์นี้ของเธอจะไม่ได้มีมิติและลูกเล่นอะไรสักเท่าไหร่ เธอบทบาทที่แสนจำเจ แต่เธอก็สามารถขับอินเนอร์ของบทบาทนี้ออกมาให้ดูเข้ากับตัวเองได้เป็นอย่างดี
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในสถานที่ที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง แม่ม่ายลูกติดที่ชื่อว่า Hannah (รับบทโดย Jurnee Smollett) เธออาศัยอยู่กับลูกสาวของเธอ Vee (รับบทโดย Ridley Ash a Bateman)
แม่ลูกคู่นี้ได้เช่าบ้านของยายแก่คนหนึ่งนามว่า Lou(รับบทโดย Allison Janney) อยู่มาวันหนึ่งในกลางดึกเกิดพายุฝนโหมกระหน่ำ Vee ลูกสาวของ Hannah ได้ถูกลักพาตัวจากบ้านไปอย่างปริศนา Hannah จึงได้ไปขอความช่วยเหลือจาก Lou ทว่ารถทุกคันได้ถูกเจาะยางจนหมด ทั้งคู่จึงไม่สามารถออกไปแจ้งคนนอกหรือแจ้งตำรวจได้ ด้วยเหตุนี้ Lou จึงอาสาที่จะช่วยเธอตามหาลูกสาวกลับมา ซึ่งแท้จริงแล้วในเหตุการณ์ครั้งนี้มีความลับบางอย่างที่ถูกปิดบังเอาไว้ สุดท้ายแล้วทั้งคู่จะสามารถช่วยชีวิต Vee กลับมาได้หรือไม่ และทั้งคู่ต้องพบเจอกับอุปสรรคอะไรบ้างนั้น ทุกคนต้องไปรับชมด้วยตาตัวเอง LOU (แกะรอยในความมืด) รับชมได้แล้วตอนนี้พร้อมพากย์ไทยทาง Netflix
เรื่องนี้ตอนเห็นครั้งแรกนึกว่าเป็นหนังสยองขวัญ เพราะจากโทนสีที่ใช้ออกเป็นโทนเย็น มืดๆ ซึ่งเป็นสีที่นิยมกับพวกหนังสยองขวัญ และเห็นมาใหม่ก็กดเข้าไปดูแบบไม่ได้อ่านพล็อตเรื่องด้วยซ้ำ พอดูไปซักพักถึงรู้ว่าไม่ใช่ละ นี่มันหนังแอ็คชั่นไล่ล่านี่นา ถ้านึกไม่ออกก็เป็นแนวประมาณ John Wick หรือ Nobody ที่เป็นพวกนักฆ่าหรือทหารเก่าที่ทำตัวโนเนม เอาหละมาเริ่มรีวิวกันเลย บทของเรื่องนี้นับว่าเขียนมาได้ดีพอตัว เปิดเรื่องมาแบบไม่ให้เรารู้อะไรเลย เปิดมาไม่กี่นาทีเด็กสาวก็โดนจับตัวไปแล้ว แต่หนังก็จะพยายามทิ้งปริศนาให้เราตลอด อย่างตอนแรกก็เกริ่นให้รู้ว่า Hannah พยายามปิดบังเรื่องพ่อของลูกเธอ จากนั้นพอ Vee หายตัวไปคนดูก็พอจะจับทางได้แล้วว่าหรือพ่อเป็นคนจับไป และพอปูเรื่องไปได้ต่ออีกซักพักเราก็จะได้เห็นตัวละครป้า Lou โชว์สกิลสุดเทพให้เราได้ดู โดยส่วนตัวผมว้าวพอตัวเพราะไม่คิดว่าจะออกมาแนวนี้ และหลังจากฉากนี้ไปคือดูเพลินเลย
ถ้าดูตัวอย่างหรือพล็อตเรื่องจะเห็นว่านี่เป็นพล็อตที่คล้ายๆ พวก จอห์นวิค อีควอไลเซอร์ โนบอดี้ คือตัวเอกต้องเป็นคนที่ดูเงียบๆ ใช้ชีวิตธรรมดาสงบๆ แต่มีเหตุให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ช่วยคนอื่น หรือล้างแค้นอะไรสักอย่าง แล้วก็เผยว่ามีสกิลเทพ เก่งสุดๆ เป็นอดีตหน่วยอะไรก็ว่าไปบลาๆๆ ซึ่งเรื่องนี้เองก็ไม่ได้แตกต่างออกไป
แต่สิ่งที่เรื่องนี้แตกต่างฉีกออกไปได้ดีกว่าคือตัวบทมีความลุ่มลึกมากกว่า รีวิวหนังnetflix LOU
การไล่ฆ่าแก้แค้นต่อสู้กับผู้ร้าย ถึงความลับในเรื่องว่าลู หญิงปริศนาที่ใช้ชีวิตเงียบๆ ไม่ค่อยสนใจใคร กับเด็กก็ไม่อ่อนโยนไม่ดีด้วยจะไม่แปลกใหม่ คือเราเดาได้แน่ๆ ล่ะว่าต้องเคยเป็นอาชีพไหนที่เก่งมาก่อน แต่เรื่องเอาแค่พล็อตเริ่มต้นตามรอยหาเด็กมาบังหน้าเรื่องราวจริงที่ซับซ้อนและใหญ่โตกว่าที่เห็นจากตัวอย่างมาก รวมถึงเป็นการผูกเรื่องที่ทำให้บทของทุกตัวละครในเรื่องสมเหตุผลลงตัวจนกระทั่งฉากจบที่ก็ยังทิ้งท้ายปลายเปิดปริศนาตรงนี้ไว้ด้วยเช่นกัน
อย่างที่บอกว่าบทเรื่องนี้ทำได้ดีพอตัว ไม่ได้มีฉากแอ็คชั่นมากมายแต่ทำได้สมจริง อย่างฉากแรกที่ป้าแกสู้กับทหาร 2 คน อันนี้ก็พอเป็นไปได้ เพราะเธอหลอก 2 คนนั้นด้วยความแก่ชราทำให้ศัตรูตายใจ และเมื่อมีจังหวะที่เหมาะสมป้าแกก็เปิดศึกและจบศึกนั้นอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าไม่ต้องมีเยอะแต่ทำได้ดีและน่าจดจำก็พอ หนังเรื่องนี้ดูเป็นหนังทุนต่ำหน่อยๆ มีตัวละครไม่เยอะ แต่นักแสดงแสดงได้ดีทุกคน Allison Janney และ Jurnee Smollett นักแสดงทั้ง 2 คนนี้เคมีเข้ากันพอสมควรและสามารถแบกหนังไปได้ทั้งเรื่อง โดยเฉพาะ Allison Janney ที่แสดงเป็นคนแก่ได้อย่างสมจริงมากๆ เพราะถึงแม้จะสู้เก่งแต่ร่างกายก็แก่แล้วจึงต้องมีความเชื่องช้าอยู่บ้าง มีพลาดบ้าง นับว่าทำได้ดี หนังเรื่องไม่ได้ขายแอ็คชั่นมากมายแต่ขายเรื่องราวและความสัมพันธ์ของตัวละครที่ซับซ้อน สับขาหลอกคนดูไปมาและมาเฉลยความจริงสุดช็อคภายหลัง ตอนจบของเรื่องก็ทำได้ดีและไม่เกินจริงจนเกินไป นับเป็นบทสรุปที่น่าเศร้าแต่ก็เคลียร์พอสมควร
นี่คือผลงานการกำกับของ “แอนนา ฟอร์สเตอร์” ที่ก่อนหน้านี้เคยกำกับหนัง Underworld: Blood Wars ภาคล่าสุดที่ค่อนข้างล้มเหลวไปสักหน่อย แต่เธอก็ลับฝีมือกับการเป็นผู้กำกับทีวีซีรีส์ดัง ๆ หลายเรื่อง อีกทั้งยังเคยเป็นผู้กำกับภาพให้กับหนังหลาย ๆ เรื่องมาก่อนด้วย แม้ว่านี่จะเป็นเพียงผลงานหนังใหญ่เรื่องที่ 2 ของเธอ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอสร้างสรรค์องค์ประกอบต่าง ๆ ออกมาได้ใช้ได้ทีเดียว
ที่เห็นโดดเด่นกว่าเรื่องไหน ๆ ก็คงจะเป็นการมุมกล้องกับมุมภาพ ที่สัมผัสได้ถึงการบรรจงดีไซน์ออกมาอย่างนุ่มนวล บรรยากาศหลัก ๆ ของหนังเป็นป่าฝ่าแปซิฟิกที่มักจะใช้แสงที่น้อย แต่เธอก็สามารถใช้องค์ประกอบธรรมชาตินี้เข้ามาผสมกับเนื้อเรื่องและปมปริศนาของหนังได้อย่างเข้ากันดี ถึงจะไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่หวือหวาและแปลกใหม่ใด ๆ สักเท่าไหร่ ก็ถือว่าออกมาได้น่าพอใจอยู่
นอกจากนี้ตัวละครแม่ฮานนาเองที่ดูเหมือนน่าจะเป็นบทหญิงสาวที่ดูไร้ประโยชน์แค่ติดตามหาลูกกับลูในตอนแรก
บทของเธอเองก็มีความเข้มข้นขึ้นในช่วงหลังเมื่อเธอลุกกลับมาเป็นคนที่ต้องช่วยลูกด้วยตัวเอง สู้ด้วยตัวเอง ตัวบทมีความการใส่เรื่องราวความเจ็บช้ำของเธอกับสามีที่ทำร้ายร่างกายเธอจนทนไม่ไหวต้องหนีออกมาอยู่บนเกาะ โดยเป็นแค่เรื่องเล่าผ่านๆ แต่ก็สามารถนำจุดนี้กลับมาใช้เป็นประโยชน์ได้ในตอนขับคัน และมีความฉลาดเด็ดเดี่ยวมากกว่าเป็นแค่ตัวถ่วงเรื่องในตอนแรก ทำให้เห็นเลยว่าคนเขียนบทเรื่องนี้เก่งที่เฉลี่ยบทให้ทุกตัวละครมีซีนสำคัญๆ กับเรื่องได้ทุกคน
Lou เป็นฝีมือการเขียนบทหนังของ “แม็กกี้ ชอห์น “กับ “แจ็ค สแตนลีย์” ที่ทั้งคู่ถือว่ายังค่อนข้างใหม่อยู่กับงานเขียนบทหนัง บอกตรง ๆ โครงสร้างบทของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างมีความซับซ้อนอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ก็เลือกใช้วิธีง่าย ๆ ในการเล่าเรื่องแทน คงอยู่กับเรื่องที่เป็นปัจจุบัน มากกว่าจะจมปลักเน้นยำกับอดีต แต่ปมในอดีตของหนังเรื่องนี้ก็ค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อย เพียงแต่หนังไม่ได้เลือกที่จะหยิบขึ้นมาขยายความอย่างใส่ใจสักเท่าไหร่
ดังนั้นจึงกลายเป็นว่า Lou กลับกลายเป็นหนังทริลเลอร์ธรรมดา ๆ ที่ดูได้เพลิน หากจะถามว่ามีอะไรให้น่าจดจำหรือไม่ ก็คงจะเป็นแค่เพียงการแสดงกับคาแรกเตอร์หลักของแอลลิสันนั่นเอง เพราะบทหนังนั้นยังไม่สามารถตีโจทย์ได้อย่างลึกซึ้งเท่าไหร่ เป็นเพียงแต่แตะต้องแบบผิวเผินในทุก ๆ ทาง แม้ว่าจะมีวัตถุดิบที่น่าหยิบมาขยายอีกเพียบก็ตาม