รีวิวหนังnetflix ฆ่า-ไถ่-อำมหิต
ชายชราผู้เป็นเศรษฐีจากธุรกิจค้าน้ำมัน เขาคือ เก็ตติ (Christopher Plummer) ที่ร่ำรวยมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ทว่าหลานชายของเขาเหมือนจะห่างเหินจากปู่ของตัวเองเสียเหลือเกินทั้งที่เคยใกล้ชิดกันขนาดนั้น พอล เก็ตติ (Charlie Plummer) คือหลานชาวคนนั้น ดูหนังฟรี ในวันที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในโรมก็เกิดเหตุการณ์ลักพาตัวขึ้น พอลถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ ดูหนังออนไลน์ โจรคงมองว่าหลานชายของมหาเศรษฐี น่าจะเรียกค่าตัวมากพอจะร่ำรวยได้ในชั่วข้ามคืน ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
เล่าเรื่องราวของการลักพาตัว “จอห์น พอล เก็ตตีที่ 3” (ชาร์ลี พลัมเมอร์) รีวิวหนังnetflix ฆ่า-ไถ่-อำมหิต
หนังเริ่มต้นด้วยภาพเก่าของสมัยก่อน เล่าเรื่องราวสลับเวลาไปมาเพื่อปูพื้นหลังให้เข้าใจตัวละครก่อนที่เหตุการณ์ลักพาตัวจะเกิดขึ้น และเริ่มค้นหาว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง การดำเนินเรื่องในช่วงแรกจึงค่อนข้างเป็นไปอย่างเรียบเรื่อย ไม่เร่งร้อน ขณะที่ตัวละครก็ใช้เวลาในการพูดจากันเป็นส่วนใหญ่ ก่อนที่หนังจะเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาที่เร่งขึ้น มีอะไรให้ตื่นเต้นมากขึ้น ลุ้นระทึกกันมากขึ้น บางช่วงบางตอนอาจมีความหวาดเสียว เพิ่มเข้ามาด้วย ทำให้ช่วงนี้หนังปลิดความเนือยทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง
และการที่ “เกล” (มิเชลล์ วิลเลียมส์) แม่ผู้อุทิศตัวของเขาพยายามทุกหนทางที่จะพาตัวเขากลับมา โดยการโน้มน้าวมหาเศรษฐีผู้เป็นปู่ของเขา “จอห์น พอล เก็ตตี” (คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์) ให้จ่ายค่าไถ่ แต่เมื่อเก็ตตี้ซีเนียร์ปฏิเสธที่จะจ่าย เกลต้องทำทุกอย่างให้เขาเปลี่ยนใจเพราะลูกชายของเธอเสี่ยงอันตรายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อชีวิตของลูกชายแขวนอยู่บนเส้นด้าย เกลและที่ปรึกษาของเก็ตตี “เฟลตเชอร์ เชส” (มาร์ก วอห์ลเบิร์ก) ต้องจำใจร่วมมือกันแข่งกับเวลาเพื่อพิสูจน์ว่าท้ายที่สุดแล้วความรักนั้นมีมูลค่ากว่าเงินตรา
สิ่งที่ดูจะเป็นจุดขายแบบไม่ตั้งใจจนเกินหน้าเกินตาตัวหนังเห็นจะเป็นการแก้ปัญหาแบบสุดโต่งของผู้สร้าง All The Money In The World ที่ตัดสินใจควักเงินถึง 10 ล้านเหรียญถ่ายซ่อมทุกฉากของ เควิน สเปซีย์ ในบท จอห์น พอล เก็ตตี้ หลังเกิดข่าวล่วงละเมิดทางเพศอันฉาวโฉ่ โดยเลือก คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ มาแสดงแทนทั้งที่มีเวลาถ่ายทำเพียง 8 วัน
จนได้เข้าชิงรางวัลด้านการแสดงแทบทุกสถาบัน เหลืออย่างเดียวที่หนังต้องพิสูจน์นั่นคือการหยิบเรื่องราวการลักพาตัวหลานของมหาเศรษฐีที่รวยล้นฟ้าแต่ตีราคากับของทุกสิ่งจนแม่แท้ๆต้องพยายามอ้อนวอนขอเงินปู่มาไถ่ชีวิตลูกตัวเองจะทำออกมาอีท่าไหนกันแน่
โดยเรื่องราวที่ว่าเกิดขึ้นในปี 1973 เมื่อ จอห์น พอล เก็ตตี้ที่สาม (ชาร์ลี พลัมเมอร์) ถูกจับไปเรียกค่าไถ่กลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี และด้วยเป็นหน่อเนื้อสกุลเก็ตตี้ทำให้ เกล (มิเชลล์ วิลเลียมส์) แม่ของพอลพยายามทำทุกทางเพื่อหวังให้ จอห์น พอล เก็ตตี้ ซีเนียร์ (คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์) คุณปู่มหาเศรษฐีสุดเย็นชา ยอมเจียดเงินมาจ่ายค่าไถ่ให้โจรแต่การจะเปลี่ยนใจคนใจหินที่เห็นเงินดีกว่าหลานนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายโดยงานนี้เกลหวังพี่งพาได้เพียงเฟลตเชอร์ เชส (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) อดีตซีไอเอผู้ช่วยที่เก็ตตี้คนปู่หวังให้ไปเจรจาลดค่าไถ่จากโจร
หนังบอกเล่าเรื่องราวของเหตุอาชญากรรมสะเทือนขวัญอันลือลั่นไปทั่วโลก
นั่นคือการที่มีโจรเรียกค่าไถ่ได้มาลักพาตัวหลานชายสายเลือดโดยตรง ( ชาร์ลี พลัมเมอร์ ) ของมหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจน้ำมันเก็ตตี้ออยล์ที่ล่ำลือกันว่าเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนั้น เจ. พอล เก็ตตี้ ( คริส พลัมเมอร์ ) ที่กลางกรุงโรมในอิตาลี ทำให้เกล ( วิลเลี่ยมส์ ) อดีตลูกสะใภ้และเป็นแม่ของเด็กต้องร้อนรนรีบไปพบกับ พอล
เพื่อขอให้คุณปู่มหาเศรษฐีช่วยจ่ายเงินค่าไถ่กว่า 17 ล้านดอลล่าร์ให้กับโจร ซึ่งในระหว่างที่เธอรอนั้น ไม่ทันที่พอลจะตอบคำเรียกร้องของเธอ ปรากฏว่าพอลไปตอบคำถามให้กับสื่อที่มาทำข่าว คำตอบของพอล ที่บอกต่อสื่อมวลชน ก็คือ ไม่ ไม่จ่ายแม้แต่แดงเดียว
ทำให้เกลรู้สึกสิ้นหวังอย่างยิ่งเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน แม้ว่าปากของพอลจะพูดปฏิเสธว่าไม่จ่าย แต่เขาก็เรียกตัวที่ปรึกษาของเขาที่เป็นอดีตซีไอเอผู้เชี่ยวชาญในการเจรจา เชส เฟลทเชอร์ ( วอห์ลเบิร์ก ) มาช่วยในการเจรจากับโจร เพื่อนำตัวพอลที่ 3 กลับมา แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปความอดทนของโจรเริ่มหมด ในที่สุดความรุนแรงก็ค่อยๆ เกิดขึ้นต่อพอลที่ 3 นอกจากนั้นระหว่างที่เกลและเชสเจรจากับพวกคนร้ายความจริงเกี่ยวกับพอล เก็ตตี้ก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นถึงความชั่วร้ายและเขี้ยวลากดินขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเกล แม่ของเด็กจึงต้องพยายามหาหนทางเพื่อนำตัวพอลที่ 3 กลับมาให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป
การดำเนินเรื่องค่อนข้างที่จะตื่นเต้นและทำให้เราลุ้นไปได้ตลอดเรื่องเหมือนกัน
นอกจากนั้นหนังยังจะพาเราไปดูบรรยากาศในเมืองอิตาลีไม่ว่าจะเป็นกรุงโรมที่เป็นเมืองหลวง หรือชนบทในแคว้นคาลาเบรียที่ค่อนข้างเงียบสงบและสวยงาม ตัดกับบรรยากาศความเคร่งเครียดในหนังได้เป็นอย่างดี ส่วนในบรรยากาศการพบกันของตัวละคร ซึ่งทำให้เราได้ซึมซับกับบรรยากาศความกดดันอึดอัด ไม่ว่าจะเป็นการพบกันของลูกสะใภ้และพ่อสามีในสถานที่ที่พักอาศัยของมหาเศรษฐี เจ. พอล เก็ตตี้ ที่ดูแล้วก็รู้สึกน่ากลัวแล้ว ยังจะพบกับอารมณ์บทสนทนาที่ชวนเครียดไปด้วย ถือว่าเป็นความยอดเยี่ยมของผู้กำกับระดับตำนาน ที่สามารถดึงเราให้มีอารมณ์ร่วมและสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของตัวละครได้เป็นอย่างดี
ราวกับว่าเราอยู่ในเหตุการณ์นั้นเช่นกัน แม้ว่าจะพูดว่าหนังเป็นแนวเรียกค่าไถ่ เหมือนกับหนังหลายๆ เรื่อง ยกตัวอย่างเช่น Man on Fire ที่นำแสดงโดย แดนเซล วอร์ชิงตัน แต่หนังกลับไม่ได้มีความเหมือนกัน ซึ่งเรื่อง Man on Fire จะมีฉากบู๊ไล่ล่าล้างแค้น แต่ขณะที่เรื่องนี้แทบจะไม่มีฉากบู๊ให้เราเห็นเลย แต่จะโดดเด่นในเรื่องบรรยากาศและบทสนทนาที่ทำให้เราต้องคอยติดตามตลอด อีกทั้งหนังมีการหักมุมไปมาทำให้เราได้รู้สึกลุ้นระทึกตาม เรียกได้ว่าหากเข้าห้องน้ำเมื่อใดก็อาจทำให้พลาดตอนสำคัญได้ อารมณ์จะคล้ายๆ กับ Bridge of Spies ของสปีลเบิร์กเสียมากกว่า นอกจากนั้นสิ่งที่หนังทำได้ดีมากๆ
ก็คงจะเป็นในเรื่องของความสมจริงที่ทำให้เรารู้สึกว่าได้อยู่ในยุค 70 จริงๆ เลย รีวิวหนังnetflix ฆ่า-ไถ่-อำมหิต
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแต่งกาย อาคารบ้านเรือน รถราต่างๆ ดูแล้วเนียนตามาก รวมไปถึงคฤหาสน์ของเจ. พอล เก็ตตี้ ที่แลดูอลังการงานสร้างสมกับฐานะมหาเศรษฐี ไม่ว่าจะเป็นบรรดาวัตถุ โบราณภาพวาด แต่ก็จะมีมุมที่ตรงกันข้ามกับความหรูหรานั่นก็คือการที่ไฟฟ้าที่มืดมิด มีเพียงแสงสลัวเล็กน้อยไว้เพียงพอแค่ดูกระดาษราคาน้ำมันในตลาดโลกซึ่งเป็นการบ่งบอกได้ถึงความตระหนี่และเขี้ยวของเจ้าของคฤหาสน์ได้เป็นอย่างดี
“เจ. พอล เก็ตตีที่ 3” เกิดเมื่อปี 2499 ในครอบครัวมหาเศรษฐีที่ทำธุรกิจด้านน้ำมัน ทว่าพออายุได้ 16 ปี เขาก็ถูกโจรลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่ ขณะอาศัยอยู่ในกรุงโรม คาดว่าสาเหตุที่ถูกลักพาตัวก็เพราะเก็ตตีเป็นลูกคนรวย (ปู่ของเก็ตตีถูกเรียกขานว่าเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน) โจรได้ติดต่อครอบครัวของเขาให้จ่ายค่าไถ่มูลค่า 17 ล้านดอลลาร์ เพื่อแลกกับชีวิตของเก็ตตี แต่แทนที่ปู่มหาเศรษฐีจะยอมจ่ายเงินแต่โดยดี เขากลับปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า เขามีหลานทั้งหมด 14 คน ถ้าเขาจ่ายค่าไถ่ให้หลานคนหนึ่ง อีกหน่อยถ้าหลานทุกคนถูกลักพาตัวไป เขาก็ต้องยอมโจรอีกด้วยการจ่ายค่าไถ่ให้กับหลานทุกคน
หลักๆ แล้ว หนังพูดถึงอำนาจเงินอย่างเต็มๆ ในหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการที่เศรษฐีใหญ่มีเงินมากมายพอจะไถ่ตัวหลานคืนได้แต่กลับไม่ทำ เลือกที่จะให้เชสควานหาตัวหลานชายให้พบโดยใช้เงินให้น้อยที่สุดนึกถึงวันที่เคยรู้สึกในใจได้ว่า มีเงินไปมากมายเท่าไร แต่ไร้คนอยู่ข้างๆ เงินก็หมดความหมาย ในที่ขณะที่แม่ของเขาเสียอีก ที่ไม่มีเงินทองแต่กลับต้องพยายามทำทุกทางเพื่อหาเงินมาไถ่ตัวลูกชายความรวยไม่ได้นำพามาซึ่งความสุขอย่างแท้จริง แต่เราก็อยู่ในโลกที่ใช้เงินที่ดำเนินการทุกสิ่งที่เราประสงค์ จนน้ำใจเราแทบจะไม่เหลือให้กันหากว่าไม่มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง
แน่นอนล่ะว่าการได้เรื่องราวเรียกค่าไถ่สะเทือนประวัติศาสตร์มาทำเป็นหนังย่อมมีความน่าสนใจในตัวเองอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผู้กำกับอย่างริดลีย์ สก็อตต์ ปรุงแต่งให้เรื่องราวมีความแตกต่างจากหนังเรียกค่าไถ่อื่นๆก็ตรงที่การใส่รายละเอียดและสร้างมิติให้ตัวละครทุกตัวด้วยภาษาภาพยนตร์จนเรื่องราวดูสมจริงและแทบไม่มีใครเป็นฮีโร่หรือผู้ร้ายที่แท้จริงในเหตุการณ์นี้ได้เลยสักคนโดยเฉพาะออกแบบสภาวะแวดล้อมตัวละครตัวละครอย่าง จอห์น พอล เกตตี้ ซีเนียร์ ที่มีทั้งความเย็นชาและว้าเหว่ ภายใต้บ้านหลังใหญ่โตเต็มไปด้วยสินทรัพย์มูลค่ามหาศาลแต่กลับมีแสงเพียงเล็กน้อยพอสาดส่องให้เขาเห็นเพียงมูลค่าน้ำมันบนกระดาษ
เพื่อสะท้อนความเป็นเศรษฐีที่หมดความเชื่อใจและไม่เห็นคุณค่าของมนุษย์
ทำให้ทั้งเรื่องนอกจากจะต้องมานั่งลุ้นว่าเกลและเฟลตเชอร์จะช่วยพอลได้ไหม เรายังต้องมาลุ้นให้คุณปู่ขี้ตืดยอมใจอ่อนและมีมนุษยธรรมซักทีซึ่งนับว่าเป็นการสร้างตัวละครที่ชาญฉลาดมาก ไม่เพียงเท่านั้นตัวละครฝั่งโจรอย่างซินควอนต้า (โรแมง ดูริส) ที่แม้ใบหน้าจะดูโหดเหี้ยมแต่กลับเปี่ยมน้ำใจจนเป็นเพียงทางรอดเดียวของพอลท่ามกลางคนโฉดที่ลักพาตัวเขามาก็ยังสร้างทั้งความขบขันและไม่น่าไว้วางใจให้กับเรื่องราวได้ลุ้นระทึกกันไปอีกขั้นอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น ริดลีย์ สก็อตต์ ยังสามารถควบคุมจังหวะจะโคนในแต่ละฉากให้คนดูได้ลุ้นระทึกกันตลอดแถมยังล่อหลอกคนดูกันไม่เว้นแต่ละซีน ทั้งการใช้โมทีฟหรือวัตถุกระตุ้นเรื่องอย่างรูปสลักที่ถูกวางให้กลายเป็นของมีค่าในต้นเรื่องก่อนความจริงจะเปิดเผยซึ่งนอกจากจะช่วยก่อร่างสร้างความระทึกให้กับเรื่องราวแล้วมันยังส่งเสริมกับธีมหลักของเรื่องอันว่าด้วยคุณค่าที่มนุษย์ปั้นแต่งให้สิ่งต่างๆ
และช่วยเปิดปมตัวละครในตระกูลเก็ตตี้ที่แทบไม่ได้ผูกพันธ์กันด้วยสิ่งใดนอกจากทรัพย์สินเงินทองเพียงเท่านั้น แถมหนังยังมีจุดชวนหัวอย่างความโง่เขลาเบาปัญญาของโจรหรือแม้กระทั่งจุดที่ล่อหลอกคนดูให้เชื่อว่า พอล ปลอดภัยแล้ว ก่อนจะตลบหลังคนดูจนเราไม่อาจคาดเดาทิศทางของเรื่องราวได้อีก ซึ่งส่วนนี้คงต้องชื่นชม เดวิด สการ์ปา มือเขียนบท The Last Castle (2001) ที่สามารถสรุปเรื่องราวจากหนังสือบันทึกความทรงจำสู่บทหนังระทึกขวัญครบรสทั้งความบันเทิงและไม่ด้อยด่าในแง่การส่งเสริมให้คนเกิดพุทธิปัญญา การดูหนังก็เปรียบเสมือนกับการเก็บผลไม้ที่อยู่เต็มต้น ที่บางครั้งเราก็อาจจะเก็บผลไม้ได้ไม่หมด แต่ก็เลือกเก็บมาเฉพาะที่เราเก็บได้หรือเลือกเก็บในผลที่เราชื่นชอบ