รีวิวหนังnetflix The Flu (2013)
คังจีกู (Hyuk Jang) เจ้าหน้าที่กู้ภัยที่มีนิสัยบ้าบิ่น กล้าเสียงในงานที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน ตัดสินใจลงไปช่วย คิมอินแฮ (Soo Ae) คุณหมอสาวสวยที่รถประสบอุบัติเหตุตกลงไปในหลุมยุบกลางเมือง จีกู ปิ๊งคุณหมอสาวสวยตั้งแต่เห็นครั้งแรก ดูหนังออนไลน์
แต่ว่าคุณหมอคนสวยดันไม่แลเขาแม้แต่น้อย ดูหนังฟรี อุตส่าห์เสี่ยงตายลงไปช่วยชีวิตคำขอบคุณสักคำก็ยังไม่เคยได้ แต่เหมือน จีกู จะมีโชคเล็ก ๆ เมื่อวันรุ่งขึ้น อินแฮ เดินทางมาหาเขาถึงหน่วยกู้ภัย ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
เป็นหนังที่เหมาะกับการเอามาดูในช่วงโควิดระลอกใหม่มาก
สาเหตุการระบาดในหนัง คือ “มีชาวต่างด้าวลักลอบข้ามดินแดนมาที่เกาหลี หลุดรอดจากเจ้าหน้าที่ไปได้ และหนึ่งในชาวต่างด้าวก็มีไวรัสสายพันธุ์ติดตัวมาจนเป็นต้นเหตุให้คนในเกาหลีตายเป็นเบือ” หนังมีซีนแพร่เชื้อใส่กันด้วยการไอจามและซีนการติดเชื้อจนคนไข้ล้นวอร์ดโรงพยาบาลที่ดูแล้วสยองกว่าโควิดหลายเท่า ไม่น่าเชื่อว่าหนังเรื่องออกฉายช่วงปี2556 หรือ 2013 แต่อีก7-8นับจากนั้นกลายเป็นว่า เราต้องอยู่ในสังคมใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ในขณะที่หนังก็ทำให้เราขบคิดได้หลายอย่างโดยเฉพาะประเด็นที่ เมื่อวิกฤติเกิดขึ้น เราควรรักษาชีวิตตัวเองและคนรอบข้างซึ่งบางครั้งอาจเป็นการแหกกฏที่รัฐตั้งไว้เพื่อคัดกรองควบคุมโรค หรือเราควรทำตามกฏเพื่อส่วนรวมโดยไม่มีเงื่อนไข
อย่างที่เราทราบกันดีว่าจุดเริ่มต้นของไวรัสโคโรน่า 2019 นั้นเริ่มต้นระบาดที่ตลาดในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ก่อนที่ไวรัสดังกล่าวจะเกิดการแพร่กระจายไปตามทวีปต่างๆอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้ทั้งโลกต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 2 ปี ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณสุขในหลายประเทศที่ไม่อาจจะดูแลจัดการผู้ป่วยได้อย่างเป็นระบบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก นำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจ และอีกมากมายหลากหลายปัญหาที่แต่ละประเทศยังแก้ไม่ตก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังเรื่อง Flu มีความคล้ายคลึงการระบาดของไวรัสโคโรน่าและได้เล่าถึงแรงงานต่างด้าวที่ต้องการเดินทางเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมายโดยที่พวกเขา เดินทางเข้ามาในประเทศด้วยการแอบอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์บรรทุกสินค้าจากประเทศฮ่องกง หนึ่งในแรงงานหลากหลายชีวิตที่อัดแน่นกันอยู่นั้นกำลังป่วยเป็นไข้หวัดประหลาด
ภายหลังจากที่ตู้คอนเทนเนอร์บรรทุกแรงงานต่างด้าวมาถึงท่าเรือเมืองซองนัม สองพี่น้อง บยองอู และ บยองกี ผู้มีหน้าที่เดินทางมารับแรงงานเหล่านี้ต้องตกตะลึง เมื่อพวกเขาพบว่า ในตู้คอนเทนเนอร์นั้นเต็มไปด้วยศพผู้เสียชีวิตที่ใบหน้าเกรอะกรังไปด้วยเลือด ทว่ายังเหลือผู้รอดชีวิตอีกหนึ่งคนคลานออกมาจากซากเหล่านั้น โดยที่ทั้งสองพี่น้องไม่รู้เลยว่า ชายคนนี้คือพาหะนำโรคไข้หวัดมฤตยูที่จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
The Flu มหันตภัยไข้หวัดมฤตยู รีวิวหนังnetflix The Flu (2013)
มีจุดเริ่มต้นมาจากเหล่าผู้อพยพที่ถูกลักลอบเข้าเมืองมาในตู้คอนเทนเนอร์ และหนึ่งในนั้นได้เป็นพาหะไวรัสชนิดที่ร้ายแรงและมีประสิทธิภาพในการแพร่ระบาดสูง และเพียงไม่นานก็พบว่าผู้อพยพรายอื่น ๆ ทยอยล้มตายกันหมด ยกเว้นชายที่เป็นพาหะเพียงคนเดียว และเชื้อไวรัสก็ได้แพร่กระจายระบาดไปทั่วพื้นที่ภายในเวลาไม่นาน มันสามารถคร่าชีวิตผู้คนได้ภายใน 36 ชั่วโมงเท่านั้น หลังจากที่ได้สัมผัสเชื้อ
วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทางรัฐบาลได้สั่งใช้มาตรการกักกันโรคย่านชานเมืองทั้งหมด เพื่อพยายามยับยั้งไม่ให้โรคระบาดแพร่กระจายเข้าสู่เมืองใหญ่ คังจีกู หนุ่มนักผจญภัยที่ต้องถูกกักกันโรค กับ ดร.คิมอินแฮ แพทย์หญิงที่พยายามเตือนผู้คนเป็นคนแรก ๆ เกี่ยวกับไวรัสชนิดนี้ ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์คับขัน เมื่อลูกสาวของเธอเสี่ยงที่จะติดเชื้อ ทำให้พวกเขาต้องแข่งกับเวลาในการหาหนทางรักษาให้รอดพ้นจากเชื้อไข้หวัดนรกครั้งนี้
โรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับอารยธรรมมนุษย์ มีหลายครั้งที่โรคภัยเหล่านี้รุนแรงมากขึ้นจนถึงระดับที่ราวกับจะสามารถล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้หายไปจากโลกได้เลยทีเดียว แต่มนุษย์ก็ยังแข็งแกร่งมากเพียงพอที่จะใช้สติปัญญาในการรับมือกับปัญหาจนกระทั่งสามารถรอดชีวิตมาได้จนถึงปัจจุบัน
หนังระทึกขวัญ The Flu มหันตภัยไข้หวัดมฤตยู เป็นหนังที่มีการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ ความดราม่าและความสยองขวัญเข้าด้วยกัน ภายใต้การเล่าเรื่องราวของเหล่าตัวละครที่มีความเป็นธรรมชาติ แสดงความน่าหวาดกลัวภายใต้สถานการณ์วิกฤตได้อย่างน่าชื่นชม
CGI ที่แสดงให้เห็นถึงการแพร่กระจายของโรคระบาด
ที่เกิดขึ้นเป็นละอองนั้นถือว่าทำออกมาได้ดี มีความน่าสะพรึงกลัว ด้วยการแพร่กระจายที่รวดเร็ว กลายเป็นความตายอันน่าสะพรึงกลัวในระดับที่เหนือกว่ามาตรฐานเล็กน้อยที่เผยให้เห็นเลือด ความหวาดกลัวของประชาชน การตอบสนองที่ล่าช้าของรัฐบาล การแย่งชิงเตียงสำหรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลสนาม ที่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เมื่อผู้คนได้กลิ่นคาวเลือดของตัวเองและคนที่รัก จนกระทั่งจบลงด้วยกองศพสูงที่รอการทำลายที่น่าเหลือเชื่อ
เพียงแต่ว่าการมาหาครั้งนี้ดันเป็นการขอร้องให้ช่วยลงไปในอุโมงค์อีกครั้ง เพื่อหาของสำคัญให้กับเธอ ถึงแม้ว่า จีกู จะปฏิเสธไปในทีแรกแต่ในที่สุดด้วยความอยากเป็นฮีโร่ในสายตาสาว เขาจึงตัดสินใจแอบลงไปหาของชิ้นนั้นขึ้นมาให้จนได้ แล้วสิ่งที่ จีกู ไม่คาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้น เมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากกระเป๋าของคุณหมอ อินแฮ แล้วบอกว่า….ลุงเป็นใคร มารับโทรศัพท์ของแม่เธอได้ยังไง
แก๊งค์ค้ามนุษย์ข้ามชาติลักลอบนำแรงงานด้างด้าว ข้ามฝั่งจากประเทศจีนมายังเกาหลีใต้ โดยที่คนทั้งหมดถูกซ่อนเอาไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ เพียงแต่ว่าทันทีที่ถึงที่หมาย คนเหล่านั้นเสียชีวิตไปเกือบหมดแล้วด้วยโรคไข้หวัดนกกลายพันธ์ เหลือรอดแค่เด็กหนุ่มอย่าง มงไซ ที่แม้จะยังมีชีวิตอยู่แต่ก็ป่วยอาการร่อแร่เต็มทน เพียงแต่ว่าการยังมีชีวิตรอดของ มงไซ มันกลายเป็นดาบสองคม เมื่อเขาเองก็กลายเป็นพาหะนำโรคไปติดคนอื่นด้วยเช่นเดียวกัน จนในที่สุดโรคไข้หวัดนกชนิดนี้ก็แพร่ระบาดไปทั่วเมือง จนเกิดความโกลาหลไปทุกที่ และยากในการควบคุมกักกันโรคเอาไว้ นอกเสียจากจะปิดล้อมทั้งเมืองไว้แล้วจัดการด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาด
ดูเรื่องนี้ครั้งแรกนานหลายปีแล้วตั้งแต่หนังออกใหม่ ๆ เลย เพียงแต่ว่าดูซับอังกฤษเลยอาจจะไม่เข้าใจเนื้อหาได้ทั้งหมด เลยขอย้อนอดีตอีกซักรอบซึ่งหนังก็ยังสนุก แล้วก็ลำไยตัวละครบางตัวเหมือนเดิมนะ ฮ่าฮ่า เป็นหนังที่รวมเอาความน่ารำคาญ ของคาแรคเตอร์ตัวละครในหนังภัยพิบัติไว้หลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่เมื่อเกิดวิกฤติ ก็มัวแต่ห่วงหน้าตาภาพลักษณ์ของตัวเอง แต่ไม่ห่วงประชาชนไม่ยอมแจ้งเตือนจนสถานการณ์มันเกินควบคุม ตัวละครที่ตัดสินใจโดยยึดเอาหลักตรรกะเหตุผล หรือการตัดสินใจในสนามรบมาใช้ ยอมเสียส่วนน้อยเพื่อส่วนใหญ่และเสียงส่วนใหญ่ถูกเสมอ
หรือจะตัวละครเอกของเรื่องอย่าง จีกู ที่ก็เป็นคนดีจนน่ารำคาญ เหตุการณ์หลักสองครั้งในเรื่องนี้ ในการทิ้ง มีรึ ลูกสาวของ อินแฮ ไว้ตามลำพังเพื่อไปช่วยคนอื่น ทำให้ มีรึ ต้องเสี่ยงชีวิตถึงสองครั้ง มันกลายเป็นตลกร้ายของหนัง ที่ตัวละครนี้ไม่รู้จักเรียนรู้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย (ตอนดูพอถึงฉากครั้งที่สองถึงกับกลั้นขำไม่อยู่)
อีกประเด็นในหนังเรื่องนี้ก็คือ รีวิวหนังnetflix The Flu (2013)
ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว เมื่ออยู่ในวิกฤติก็ต่างเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเพื่อตัวเองหรือคนที่รัก เหมือนกับ อินแฮ ที่ยอมเอาชีวิตคนอื่นในศูนย์ควบคุมโรคมาเสี่ยง เพื่อรักษาชีวิตของลูกสาวตัวเองเอาไว้ หรือ กุ๊กฮวาน (มาดงซอก) หัวหน้าหน่วยป้องกันภัยที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด ไม่เว้นแม้กะทั่งทำร้ายเด็กและไม่สนใจว่าใครจะอยู่ใครจะตาย
ตามปกติแล้วโรคไข้หวัดนั้น ความรุนแรงของโรคจะแสดงอาการในช่วง 2-3 วัน แต่ดูเหมือนไข้หวัดมรณะในหนังเรื่องนี้จะสร้างความรุนแรงต่อระบบทางเดินหายใจได้มากกว่าที่โลกนี้เคยเผชิญมา มิหนำซ้ำอาจจะรุนแรงกว่าโคโรน่าไวรัสด้วยซ้ำไป เพราะผู้ติดเชื้อมีโอกาสจะเสียชีวิตภายในเวลาอันสั้นไม่เกิน 3 วันแถมยังทำให้อวัยวะภายในล้มเหลวจนผู้ป่วยอาเจียนออกมาเป็นเลือดกันเลยทีเดียว
เมื่อเป็นโรคที่แพร่ผ่านทางระบบทางเดินหายใจ ทันทีที่มีคนไอ จาม หนังเรื่องนี้ได้จำลองภาพฝอยละอองที่ปลิวเข้าสู่ตา จมูก และปาก เพื่อแสดงให้เห็นถึงการติดต่อของโรคจากคนสู่คนอย่างรวดเร็ว ในพริบตาโรคไข้หวัดมรณะนี้ได้ระบาดไปสู่สังคมจนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ทันทีที่ผู้ป่วยแสดงอาการรุนแรงจนถูกเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ระบบสาธารณสุขของเมืองเกิดการล้มเหลวภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ถึงแม้ว่าหนังจะนำเสนอชีวิตของพระเอกอย่าง คังจีกู (จางฮยอก) ในฐานะหน่วยกู้ภัยสุดหล่อ ทรงเสน่ห์ ผู้ตกหลุมรักคุณหมอ คิมอินแฮ (ซูเอ) หลังจากที่เธอเคยขับรถตกหลุมก่อสร้างจนเกือบจะตายเป็นผีเฝ้าฐานรากถนนถ้าหากไม่ได้ คังจีกูมาช่วยทันเวลา แน่นอนว่าหลังจากที่โรคระบาดได้แพร่กระจายไป สองตัวละครนี้กลับโคจรมาเจอกันด้วยความสมพงศ์กันของโชคชะตาล้วนๆ (หรือจริงๆเพราะบทภาพยนตร์จะเขียนให้เป็นเช่นนั้นก็ตามที) ผู้ชมจะได้เห็นว่า วิธีการตัดสินใจของคุณหมอคิมในฐานะ “แม่” ที่กำลังพยายามปกปิดความจริงที่ว่าลูกสาวของตัวเองได้ติดเชื้อไข้หวัดมรณะ จนเกือบจะทำให้โรคนี้เกิดการแพร่กระจายในแคมป์กักกันผู้ป่วยด้วยก็ตาม
ถึงจรรยาบรรณแพทย์จะค้ำคอคุณหมอคิมแค่ไหน แต่ด้วยบรรทัดฐานของคนเป็นแม่ เธอจึงยอมที่จะทำทุกอย่างเพื่อยื้อชีวิตลูกสาวของตัวเองเอาไว้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะผิดแค่ไหนก็ตาม และพฤติกรรมดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ตัวคังจีกูเองก็ยินยอมพร้อมใจที่จะช่วยหญิงสาวที่เขาแอบชอบละเมิดกฎของทางการตั้งไว้ ใจหนึ่งก็เพราะเขาอาจจะเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองว่า บางทีอีกไม่นานหมอคิมอาจจะเป็นผู้คนพบวัคซีนในการรักษาโรคนี้ก็เป็นได้
อีกหนึ่งแง่มุมที่น่าสนใจในหนังเรื่อง FLU
คือการเผยให้เห็นการทำงานที่เกี่ยวโยงกันระหว่างอาจารย์หมอ กระทรวงสาธารณสุข นักการเมืองท้องถิ่น รัฐมนตรี และประธานาธิบดีที่ล้วนแล้วแต่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจชี้เป็นชี้ตายของประชาชนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการอพยพ ตั้งค่ายกักกันผู้ป่วย ปิดเมือง ตั้งป้อมทหารในการกีดกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อเล็ดลอดออกจากเมือง ซึ่งภายในห้วงเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่นาที หนังก็เผยให้เห็นว่า “การมีผู้นำที่เด็ดขาดและมีปัญญา” สามารถคลี่คลายปัญหาบางอย่างไม่ให้บานปลายเลยเถิดได้เช่นกัน
ทั้งหมดทั้งมวล FLU คือการจำลองภาพสถานการณ์ไวรัสระบาด โดยเชื่อมโยงบุคคลอันเป็นตัวแทนของผู้คนในสังคมหลากหลายภาคส่วน และสะท้อนภาพว่าเมื่อเกิดวิกฤตขึ้นประชาชนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม ต่างก็ต้องดิ้นเราเอาชีวิตรอดอย่างกระเสือกกระสนแตกต่างจากผู้มีอำนาจที่มักจะลอยตัวอยู่เหนือปัญหาได้อยู่เสมอ
ส่วนด้อยของหนังระทึกขวัญ The Flu มหันตภัยไข้หวัดมฤตยูเป็นเรื่องช่องโหว่ความสมจริงของเรื่องราวความสมจริง เช่น ประเทศอื่นสามารถที่จะกำหนดการตอบสนองของประเทศที่เป็นรัฐอธิปไตยได้อย่างง่ายดาย และที่สำคัญคือไม่มีการอธิบายว่าคนกลุ่มแรกที่ติดเชื้อนั้นติดเชื้อได้อย่างไร และแน่นอนว่าการที่ชี้ให้เห็นว่าผู้ลักลอบเข้าเมืองเป็นต้นเหตุของการติดเชื้อที่แสนร้ายแรง มันเป็นการเหยียดเชื้อชาติแบบหนึ่งเช่นกัน
รวมทั้งผู้คนที่อยู่นอกเขตค
ถึงแม้จะเห็นบ่นเรื่องตัวละ
ภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากจะดำเนินเรื่องด้วยการบีบคั้นอารมณ์ เล่นกับจิตใจผู้ชมจนทำเอากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้วนั้น ยังเล่าถึงการรับมือของภาครัฐ ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่เกิดท่ามกลางสถานการณ์อันคับขัน ถ้าหากใครที่เคยดูภาพยนตร์ดังอย่าง Train To Busan แล้วถูกใจ น่าจะชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแน่นอน ยิ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2020 จากกรณีไวรัสโคโรน่าที่กำลังระบาดอยู่นั้น ทำให้หลายคนกลับมาสนใจและชมภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างเข้าถึงอารมณ์มากยิ่งขึ้น ใครที่ยังไม่ได้ดูอย่าลืมไปตามเก็บ The Flu กันนะ เป็นหนังเกาหลีคุณภาพดีที่คุณจะต้องยกขึ้นหิ้งอย่างแน่นอน