รีวิวหนังnetflix จากเรื่องจริง เรื่อง 13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ

วันนี้เรามารีวิวหนัง netflixยอดนิยม ขอเสนอเรื่อง 13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ (The Trapped 13: How We Survived The Thai Cave) ภาพยนต์แนวสารคดี สร้างจากเรื่องจริง ที่เป็นข่าวดังมาก ซึ่งข่าวเกิดที่ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย สามารถรับชมหนังเรื่องนี้ได้แล้ว ที่ดูหนังhdมาใหม่ หรือจะอ่านรีวิวก็ได้

เรื่องย่อ The Trapped 13

เรื่องเล่าจากในถ้ำ เป็นการตีแผ่เรื่องราวที่ทั่วโลกเคยให้ความสนใจเหตุการณ์ที่สมาชิกทีมฟุตบอลเยาวชน 13 คนทางภาคเหนือของประเทศไทยติดอยู่ในถ้ำที่น้ำท่วมเมื่อกลางปี 2018 หลังติดอยู่ในถ้ำนานถึง 17 วัน ทุกคนก็ได้รับการวางยาสลบและนำตัวออกมาได้ในที่สุดในภารกิจกู้ภัยระดับโลกครั้งยิ่งใหญ่ซึ่งมีนักดำน้ำมาร่วมด้วยมากกว่า 90 คน และสารคดีเรื่องนี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวจากมุมมองของเด็ก ๆ และโค้ชที่เคยติดอยู่ในนั้น

เชื่อว่าหลายคนอาจจะรู้สึกเอียนกับการตีแผ่เรื่องราวเหตุการณ์ที่เคยเป็นปรากฏการณ์การรวมใจครั้งสำคัญของโลกที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ซึ่งเคยเกิดขึ้นในปี 2561 ณ ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย เพราะเราได้เห็นทั้งหนังและซีรีส์มากมายถูกผลิตออกมามากมายเต็มไปหมด และนี่ก็คือหนังเรื่องล่าสุดที่นำมาออกเสิร์ฟ “13หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ” หนังสารคดีที่มีจุดเด่นและแตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ เพราะนี่คือเรื่องราวจากมุมมองและสายตาของผู้ประสบเหตุในถ้ำนั้นจริง ๆ ที่ยังไม่เคยมีที่ไหนเปิดเผยมาก่อน

13 หมูป่า

ความน่าสนใจ 13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ

13 หมูป่า Netflix ที่น่าสนใจคือเขาจะพาเราไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นในถ้ำด้วย ไล่ทุกวันตั้งแต่วันแรก มาดูกันว่า ช่วงแรก ๆ เด็ก ๆ ไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะคิดว่าน้ำจะลดแล้ว ออกไปได้ อาจจะติดแค่วันสองวัน แต่ไปๆ มาๆ กลับไม่เป็นอย่างนั้น วันเวลาผ่านไป เด็กๆ เริ่มกระสับกระส่ายและสิ้นหวัง โชคไม่ดีที่โค้ชเอกเข้าไปด้วยโชคดีที่ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้เพราะทุกคนนับถือโค้ชเอก ส่วนเด็กๆ ก็ฝากความหวังไว้ที่โค้ชเอก ทุกอย่างจะสงบลงได้ หากคุณแค่คิดเล่นๆ สิ่งต่าง ๆ อาจแย่กว่านี้ถ้าคราวนี้ไม่ใช่เพื่อเด็ก ๆ และโค้ช เพราะถ้าผู้ใหญ่ทั้งหมดอยู่ด้วยกัน ฉันแน่ใจว่าจะมีความอดอยากและแม้แต่การต่อสู้แบบกินเนื้อคนในภายหลัง นี่เป็นความบังเอิญที่โชคดีมาก สิ่งเหล่านั้นไม่เกิดขึ้น

นอกจากนำเสนอมุมมองที่ทำให้ผู้ชมได้ขบคิดมากขึ้นแล้วนั้น สารคดียังมีดีในเรื่องงานสร้างและการลำดับเหตุการณ์อีกด้วย โดยจะตัดสลับระหว่างบทสัมภาษณ์กับภาพจำลองเหตุการณ์ เพื่อให้ผู้ชมได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ซึ่งนับเป็นเทคนิคที่ดีและเป็นส่วนที่สามารถดึงดูดผู้ชมเอาไว้ได้ งานภาพและมุมกล้องต่างๆ ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม การจัดแสงตอนสัมภาษณ์ที่ให้สว่างพอแค่เห็นหน้าและยังคงความมืดเอาไว้ก็ช่วยสร้างบรรยากาศได้เป็นอย่างดี ทำให้ทั้งภาพจำลองเหตุการณ์และบทสัมภาษณ์ดูกลมกลืนกัน พร้อมกับการใส่เสียงประกอบเพียงน้อยนิดและให้เราได้ยินแต่เสียงสัมภาษณ์เป็นหลักก็ช่วยสร้างบรรยากาศที่จริงจังได้ แถมในตอนจบที่จอบได้ดีด้วยคำพูดของเด็กๆ ที่บอกว่า หลังจากนี้พวกเขาทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากทำตัวเป็นเด็กดี เพราะทุกคนลงทุนลงแรงกันอย่างมากเพื่อให้พวกเขารอดออกมา บวกกับความรู้สึกผิดที่เด็กๆ รู้ว่าจ่าแซมได้เสียชีวิตเพราะมาช่วยพวกเขา พวกเขาจึงทำอย่างเดียวคือใช้ชีวิตให้ดี ดังนั้น จึงไม่อยากให้ทุกคนตั้งอคติกับเด็กๆ มากเกินไป มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ควรให้อภัยและให้กำลังใจกันมากกว่า รีวิวหนังnetflixยอดนิยมน่าสนใจ

13 หมูป่า

โครงเรื่อง

ตัวสารคดีเองไม่ได้ซับซ้อนเกินคำบรรยาย ในความเป็นจริงมันเป็นรูปแบบทั่วไปของสารคดีทั่วไป และทุกคนรู้บทสรุปของมันแล้ว แต่เป็นหนังที่ต้องดูที่ร้อยเรียงกราฟเรื่องราวและทำให้น่าสนใจ เป็นแผนภูมิการเล่าเรื่องที่บอกเล่าตามความรู้สึกของแต่ละคน โดยค่อยๆ ผันผวนจากด้านบวกไปสู่ด้านที่ตกต่ำลงอย่างสิ้นเชิง แต่มันมาจากจิตวิญญาณที่ยังคงมีความหวังที่จะมีชีวิตออกจากถ้ำ ส่วนโค้ชเอกในฐานะพี่ชายที่ต้องรับผิดชอบน้อง ก็กลัว หรือแม้แต่ภูมิหลังที่พ่อแม่บอกเด็กแต่ละคนจะจบเรื่องได้ เจตจำนงและความเป็นมนุษย์ของเด็กๆ เพิ่มความน่าสนใจให้กับสารคดีเรื่องนี้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

จนเมื่อได้ออกมาจากถ้ำแล้ว แม้ทุกคนจะดีใจเปี่ยมสุข แต่ตัวหนังก็ยังตั้งคำถามกับพวกเขาในฐานะที่กลายมาเป็นที่รู้จักและได้รับโอกาสนับไม่ถ้วน ซึ่งสารคดีก็ได้สะท้อนเรื่องราวผ่านความรู้สึกกดดันของเขาต่อกระแสสังคมส่วนหนึ่งที่อาจมองพวกเขาว่าพวกเขาเป็นคนสร้างภาระขึ้นจากความบ้าบิ่น มากกว่าเป็นผู้ประสบเหตุ ความรู้สึกของโค้ชเอกที่กลัวพ่อแม่ของน้อง ๆ จะเข้ามาดุด่า รวมทั้งความรู้สึกผิดลึก ๆ ในใจที่พวกเขามองว่าตัวเองมีส่วนให้เกิดความสูญเสียหลาย ๆ อย่าง ทั้งเวลา ทรัพยากร และโดยเฉพาะกับนาวาตรีสมาน กุนัน หรือจ่าแซม เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ ที่ทำให้พวกเขามีมุมมองต่อชีวิตที่เปลี่ยนไปจากตอนก่อนเข้าถ้ำอย่างเห็นได้ชัด

13 หมูป่า

ความคิดเห็นหลังดู The Trapped 13

เมื่อทีมงานได้ดู Thai Cave Rescue หรือ 13 หมูป่า เรื่องเล่าจากในถ้ำ เต็มเรื่อง จนจบทั้งหมด 6 ตอนเรียบร้อยแล้วก็มีเรื่องอยากจะกล่าวรีวิวถึง 2 อย่างใหญ่ ๆ ด้วยกัน เรื่องแรกก็คือการเพิ่มเนื้อหาเข้ามาในซีรีส์ 13หมูป่า ทำให้เน็ตฟลิกซ์ได้แต้ม ต่อมากกว่าเรื่องอื่นที่เคยฉายไปแล้ว เพราะมีเรื่องราวให้เล่นมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเน้นไปที่ประเด็นของเด็ก ในทีมหมูป่าอะคาเดมีก็ช่วยเพิ่มมิติให้แก่ซีรีส์มากเลยทีเดียว

เนื่องมาจากเหตุการณ์จริง หรือแม้แต่ในซีรีส์ถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง จะมีตัวละครดำเนินเรื่องเป็นผู้ใหญ่ทั้งสิ้น การได้เห็นความคิดของเด็ก ทำให้ผู้ชมดูเปิดโลกทัศน์มากเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องที่เสริมเข้ามาเกี่ยวกับเหล่าเด็ก ๆ ในทีมหมูป่าอะคาเดมี่จะมีความยืดเยื้อ และดูโจ่งแจ้งเกินไปบางก็ตามที

ส่วนเรื่องต่อไปที่อยากพูดถึงคือเรื่องวุ่นๆ ของน้องๆ หมูป่า 13 ชีวิต เพราะบางทีมันก็ยืดเยื้อเกินไป ทำให้คิดว่า ชุดกู้ภัยถ้ำหลวงของไทยไม่จำเป็นต้องพุ่งเป้า ไปที่เยาวชนเหล่านี้เลยหรือ? ทำให้ดูเหมือนซีรีส์กึ่งสารคดีล้มเหลวเลยไม่มีมิติของสารคดีนอกเหนือไปจากประเด็นที่เป็นข่าวอยู่แล้วเกี่ยวกับสถานการณ์ของภัยพิบัติ ซึ่งมีข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นความจริง

สำหรับหลายๆ คน นี่อาจเป็นสารคดีถ้ำหลวงอีกเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว สารคดีเรื่องนี้อาจทำให้นึกถึงภาพยนตร์ย้อนยุคได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แทนที่จะต้องเดินทางไกลเหมือนอย่างในภาพยนตร์ย้อนยุค ตัวละครต่าง ๆ จะเข้าไปผจญภัยในถ้ำ เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนรุนแรงกลับมาพร้อมคำตอบว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ที่จะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในชีวิต? พวกเขาประสบกับความรู้สึกโหดร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร ? พวกเขาเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร?

ไม่ว่าคนภายนอกจะมองหรือเข้าใจพวกเขาในมุมมองอย่างไร แต่อย่างน้อย ๆ สารคดีเรื่องนี้ก็เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เติมเต็มเรื่องเล่าเล็ก ๆ ลงในเหตุการณ์ใหญ่ เป็นเหมือนไดอารี่ที่เติมเรื่องที่ไม่เคยถูกเล่าในฐานะของเด็กชายที่กำลังจะโตเป็นหนุ่มที่เคยผ่านสถานการณ์และความรู้สึกที่มืดมิดที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตมาแล้ว เรื่องราวเหล่านั้นอาจเลือนหายสาบสูญไปตามเวลา หลายคนอาจยังไม่เข้าใจพวกเขา เหมือนเดิม แต่สิ่งที่พวกเขารู้สึกก็คือ ไดอารี่เล่มนี้จะเป็นบทบันทึกเล็ก ๆ ที่คอยย้ำเตือนให้พวกเขา (และพวกเรา) มองเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นอดีต และย้ำเตือนว่า หากยังคงมีโอกาสที่สอง ทุกเหตุการณ์ในชีวิตล้วนเป็นบทเรียนที่สอนให้คนเราเติบโตขึ้นได้จริง ๆ

ไฮไลท์และองค์ประกอบของเรื่อง 13 หมูป่า: เรื่องเล่าจากในถ้ำ

The Trapped 13 Netflix ก็มีสิ่งที่เป็นไฮไลต์แตกต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่ได้พาสมาชิกทีมฟุตบอลหมูป่า อคาเดมี่ ที่เคยประสบเหตุในครั้งนั้น มานั่งพูดคุยและเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในถ้ำหลวงจากมุมมองและประสบการณ์ตรงของพวกเขาเอง ซึ่งเป็นมุมมองที่เชื่อว่ายังไม่เคยมีหนังเรื่องใดเคยตีแผ่มุมนี้มาก่อน

และนั่นก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่น่าสนใจที่สุดของหนังสารคดีเรื่องนี้ เพราะสิ่งที่พวกเขาที่เคยประสบเหตุมากับตัวเอง ได้นั่งและเล่าถึงเรื่องราวที่ต้องเผชิญหน้ามาจากปากพวกเขาเอง อีกทั้งหนังยังเลือกนำเสนอที่แทบไม่ แตะต้องประเด็นเชิงระบบและการเมืองต่าง ๆ เลย แต่เน้นเสนอมุมมองเชิงรากหญ้า เน้นแนวคิดของเด็กที่ประสบเหตุและความรู้สึกจากพ่อแม่ผู้ปกครองเป็นหลัก

เบื้องหลัง ฉันยังคิดว่า Trapped Thirteen อาจเป็นองค์ประกอบที่ใช้ในการขยายและประกอบการสร้างซีรีส์ล่าสุดของ Netflix ถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง ซึ่งสัมผัสได้จากอีกมุมหนึ่ง รายละเอียดโดยละเอียดช่วยให้ผู้ชมมีส่วนร่วมได้อย่างดี แม้จะเต็มไปด้วยเรื่องราวซ้ำๆ ซากๆ แต่ปัญหาของหนังคือจะไปทิศทางไหนก็ยังดึงความสนใจได้

หากสารคดีฮอลลีวูดเช่น “กู้ภัย” ปีที่แล้วทำได้ดีในการบอกเล่าแง่มุมที่เป็นประโยชน์ของการกู้ภัยในถ้ำ “13 ติดกับดัก” คงจะเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม นำเสนอมุมมองของเหยื่อที่แท้จริง พลังของมันคือมุมมองและประสบการณ์ของผู้ที่ติดอยู่ในถ้ำจริง ๆ ผ่านแนวคิดที่ว่าผู้คนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังคิดอะไรในขณะที่ติดอยู่ภายใน

อาจไม่ใช่สารคดีที่มีองค์ประกอบสมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้าน โครงสร้างและ การเล่าเรื่องยังคงซ้ำซากจำเจตามสูตรของโครงสร้างเรื่องเดิม แต่อย่างน้อย หนังก็เลือกที่จะ นำเสนอมุมมองที่โลกไม่เคยมีมาก่อน ประการแรก นั่นคือสิ่งที่ภาพยนตร์ทำ และแรงผลักดันของหนังตั้งแต่ต้นจนจบงานนี้

ตอนนี้เราอาจจะเข้าใจความรู้สึกของทั้ง 13 คนที่ติดอยู่ในถ้ำหลวงในตอนนั้นแล้ว แม้ว่าบางคนจะเรียกว่าเด็ก แต่พวกเขาก็สร้างปัญหาให้กับผู้อื่นเพราะความเย่อหยิ่งของพวกเขา แต่ทุกนาทีที่พวกเขาติดอยู่ข้างใน พวกเขาเต็มไปด้วยความคิด รู้สึกเครียด รู้สึกผิด หิวโหย สิ้นหวัง แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นคือคำตอบของเรื่องราวทั้งหมด ปัจจุบันได้กลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่จุดประกายความหวังไปทั่วโลก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *