รีวิวซีรี่ย์เกาหลี netflix เรื่อง อลิสในแดนมรณะ

ซีรีส์สร้างจากมังงะชื่อดัง alice in borderland เรื่องย่อ ที่เล่าเรื่องราวของ อาริสึ (เคนโตะ ยามาซากิ) ชายหนุ่มตกงานผู้หลงรักการเล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า เด็กติดเกมนั่นแหละ … จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาพบว่าตัวเองอยู่ในกรุงโตเกียวที่ร้างผู้คน มีเพียงเขาและเพื่อน ๆ เท่านั้นที่อยู่ในดินแดนมรณะ ณ โลกคู่ขนานแห่งนี้

อาริสึได้เจอ อูซางิ หญิงสาวที่ฟันฝ่าในเกมเพียงลำพัง ทั้งคู่จะออกไปไขปริศนาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยกัน โดยต้องเสี่ยงตายและทำทุกทางเพื่อให้มีชีวิตรอด

โดยกฎของที่นี่ก็คือ เวลาชีวิตของพวกเขาถูกนับถอยหลังไปเรื่อย ๆ และทางเดียวที่จะต่อเวลาชีวิตได้ก็คือการเล่นเกม ซึ่งเกมของโลกนี้ไม่ใช่เกมที่จะพลาดแล้วเริ่มใหม่ได้ เพราะถ้าพลาดมันหมายถึงชีวิต !

โปรแกรมส่วนตัวคิดว่ายังไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็น ซีซั่นนี้มีแค่ 8 ตอน แต่เนื้อเรื่องยังไม่เข้มข้นเท่าที่ควร เพราะบางโครงเรื่องดูไกลตัวไปหน่อย แต่บางโครงเรื่องต้องอธิบาย จึงควรอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ ทำให้คนที่ไม่เคยอ่านมังงะมาก่อนจะตามไม่ทัน

เห็นได้ชัดว่าความไม่ลงรอยกันของซีรีส์คือครึ่งแรกให้ความรู้สึกแตกต่างจากครึ่งหลังมาก เกือบจะเหมือนผู้กำกับคนละคน การเล่าเรื่องในทิศทางที่แตกต่างจะถือเป็นข้อผิดพลาดหากถูกมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ที่ผลักดันซีซันไปสู่จุดไคลแมกซ์ เพราะพูดตามตรง ครึ่งแรกของซีซันดูน่าสนใจกว่า แม้ว่าครึ่งหลังของซีซั่นจะเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่นก็ตาม

สำหรับซีรีส์เรื่อง อลิสในแดนมรณะ นี้จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการเอาชีวิตรอดในแต่ละเกม โดยในแต่ละด่านจะใช้สำรับไพ่ในการบอกว่าความง่ายและความยากของด่านนั้น

ในตอนต้นของซีรีส์ มันเหมือนกับการตอบคำถามว่าโลกคืออะไร พล็อตนี้เป็นเหมือนแกนหลักของเรื่อง ทำให้ตัวละครทุกตัวต้องเล่นทุกเกม แม้กระทั่งเสี่ยงชีวิตเพื่อกลับไปยังโลกของตัวเอง เล่นไม่ได้เพราะทุกคนจะมีพาสปอร์ตเพื่อยืดอายุ ถ้าพาสปอร์ตใช้หมดคุณจะตายทันที

ในส่วนของเนื้อเรื่องของเกมนั้นชวนให้คิดและจะจบเกมอย่างไร เกมบางเกมอาจทำให้ผู้ชมปวดใจได้

แต่สัมผัสของมนุษย์ที่โดดเด่นในซีรีส์นี้ คนเราจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ชีวิตของเรา มีค่าแค่ไหน? ดังนั้นผู้เขียนจึงคิดว่าซีรีส์นี้จะเน้นถ่ายทอดชีวิตที่มีค่าผ่านแต่ละเกม และในการกระทำของตัวละคร

ฉากและอุปกรณ์ประกอบฉากเรียกว่าซีรีส์ alice in borderland ภาค1 การจัดฉากก็น่าทึ่ง ตัวอย่างเช่น ชิบูย่าที่เห็นในซีรีส์ไม่ใช่สถานที่จริงแต่เป็นสถานที่ที่สร้างขึ้น ภาพที่คุณเห็นไม่ว่าจะเป็น CG หรือที่อื่น ๆ ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี

เครื่องแต่งกาย ตัวละครแต่ละตัวมีเครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์มาก เมื่อคุณเข้าถึงตัวละครอย่างลึกซึ้ง คุณจะเห็นว่าชุดนั้นถ่ายทอดเรื่องราวของตัวละครนั้นได้ดีจริง ๆ

สิ่งที่ทำให้เราประทับใจตั้งแต่ฉากแรกที่ดูคือโทนของเรื่องดูแตกต่าง สมจริง และ เป็นสากลมากกว่าละครไลฟ์แอ็กชันญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆ ที่เราเคยดู มีการแสดงน้อยมากโดยเฉพาะตัวเอกของเรื่อง Yusu รับบทโดย “Yamazaki Kento” เป็นเจ้าชายในโลกแห่งความเป็นจริง และ Usagi รับบทโดย “Michi Tsuchiya” เหมาะสมแล้ว ทั้งนางเอกและพลัง ตัวละครอีกสองตัวที่เราอยากชื่นชมเป็นพิเศษคือ Kita Machida แสดงเป็น Karube และ Aya Asahina แสดงเป็น Kuina ซึ่งทั้งคู่มีความสมดุลระหว่างบทบาทที่มีสีสัน ส่งบทบาทให้มีน้ำหนักที่เชื่อถือได้ แต่หลังจากตอนที่ 4 ด้วยการแนะนำตัวละครใน “The Beach” ขอบนั้นก็จางหายไป ตัวการ์ตูนนั่นตัวการ์ตูนเหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูนเรื่องหนึ่งเลย และเริ่มทำให้เรื่องนี้มีกลิ่นเหมือนซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันแบบดั้งเดิม เรารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแม้ว่านักแสดงทุกคนจะเล่นได้ดีมีมาตรฐานและซีรีส์ก็ยังดูสนุก ด้วยความสดชื่นที่ไม่เจือปน

ทั้งนี้ทั้งนั้นจุดดีอื่น ๆ ก็ยังมีให้ชื่นชมอยู่ตลอดเรื่อง อย่างดนตรีประกอบโดย ยูคะตะ ยามาดะ ที่ช่วยเสริมให้อารมณ์ทุกอย่างดูเข้มข้นขึ้นไปอีก การดีไซน์ฉากที่สวยและน่าสนใจ ประกอบกับงานโปรดักชั่นที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมทั้งมุมกล้อง การจัดแสง และคอมพิวเตอร์กราฟฟิคก็ออกมาสวยสมจริง แน่นอนว่าฉากที่เราชอบที่สุดคือฉากในตอนที่ 1 ที่แยกชิบุย่าอันว่างเปล่าที่เขียนขึ้นมาใหม่ เกือบทั้งหมดนี่ทำให้เราอยากรัวมือให้กับฝีมือ ไปชมเพิ่มได้ที่ รีวิวหนังnetflixยอดนิยม

บทและเนื้อเรื่องน่าสนใจดีที่เปลี่ยนตัวละครจากอลิซในแดนมหัศจรรย์ เป็นตัวตนใหม่ก็เข้ากับเรื่องดีอย่างคนทำหมวกบ้าที่กลายเป็น “คนขายหมวก” แต่ก็ยังมีช่องโหว่อยู่บ้าง ผมชอบเงื่อนไขการเล่นเกมในเนื้อเรื่องนะครับจะเปลี่ยนไปตามไพ่ที่มาสเตอร์เกมแจกและทดสอบร่างกาย สมอง หัวใจ และข้อต่อของผู้เล่นสลับกันไป กลายเป็นจุดอ่อนและจุดแข็งของเรื่อง เนื่องจากการสลับเกม จึงมีเกมที่เน้นการวิ่งและการไล่ตาม เกมที่เปิดช่องว่างทางสมอง และแผนการบีบคั้นหัวใจที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ คาดเดาไม่ได้มากขึ้นและเพิ่มความหลากหลาย แต่แนวที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทำให้หลายๆ ครั้งเรามองไม่เห็นความดีความชอบของตัวละครนั้นๆ ตัวอย่างเช่น Yuqi ผู้โดดเด่นด้วยความคิดมากมายจะไม่เปล่งประกาย เมื่อเผชิญหน้ากับเกม “โพดำ” ที่เน้นความแข็งแกร่งทางร่างกาย ดังนั้นหากคุณต้องการเห็นผู้ที่มี Qi Shenjie คุณอาจมองไม่เห็น ฯลฯ และตัวละครอื่น ๆ ที่มีความแข็งแกร่งต่างกัน

สิ่งที่ยังคงทำให้เรื่องราวน่าสนใจคือเป็นซีรีส์ที่จำลองโลกแห่งความเป็นจริงมานำเสนอในรูปแบบเกมที่เต็มไปด้วยสถานการณ์สุดระทึก ตามฉบับของซีรีส์ Survival ให้เราเห็นธรรมชาติของมนุษย์ หลาย ๆ ฉากมีความรุนแรงแต่เนื้อเรื่องก็ทำได้ดี ทำให้เราจดจ่ออยู่กับช่องว่างจนละเลยข้อความที่ซ่อนอยู่ เช่นใน Borderlands หลาย ๆ เรื่อง อลิส สะท้อนสิ่งที่ตัวละครต้องเผชิญในแต่ละเกม และมันก็ไม่ได้น่าหดหู่หรือน่ากลัวเกินไป ก็คงไม่ต่างอะไรกับที่เราต้องเจอทุกวันในที่ทำงาน โรงเรียน หรือสังคม เพียงในรูปแบบที่แตกต่างกัน

ความรู้สึกหลังรับชม

ผมว่า Alice in Borderland Season 1 แรงกว่านะ อาจเป็นเพราะไม่มีเงื่อนงำที่ชัดเจนในตอนแรก หรือบางทีทุกอย่างดูใหม่สำหรับตัวละครและผู้ชม อีกทั้งส่วนแรกของเกมจะไม่ยืดเยื้อเหมือนส่วนที่สอง ภาคสองบางเกมยาวเกือบ 3 ตอน บางเกมมีตัวเอกแค่ 1 คนและใช้เวลานานกว่าจะจบเกม นอกจากนี้ผู้เขียนยังมองว่าในภาค 2 นี้เป็นเหมือนภาคที่ใช้ปมตัวละครมากกว่าจะชนะทุกเกม นอกจากนี้ยังจะมุ่งเน้นไปที่คำถามพื้นฐานว่าเกมจะจบลงอย่างไรในแต่ละครั้ง จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้? เป็นส่วนสำคัญของเนื้อเรื่องแต่กลับทำให้เกมที่กำลังเล่นดูตกต่ำ และ ไม่สนุกเลย

แต่สุดท้ายก็ถือว่าครบเครื่องสมกับการรอคอยมาเนิ่นนาน เพราะตอนจบของซีรีส์ไม่ทิ้งให้คนดูต้องเดาว่าเรื่องราวที่เหลือจะเป็นอย่างไร ถ้าใครอยากดูซีรีส์เอาชีวิตรอดที่เดิมพันด้วยชีวิต ห้ามพลาด Borderlands อลิสในแดนมรณะ