รีวิวหนังnetflix THE HUNT
หนังสยองขวัญ The Hunt เกมล่าคน เป็นเรื่องราวของคนแปลกหน้า 12 คน ที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในสถานที่ที่ไม่รู้จัก พวกเขาไม่รู้แม้แต่ว่าตัวเองมาอยู่ที่แห่งนั้นได้อย่างไร ในขณะที่กำลังเกิดความสงสัยและพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวอยู่นั้น ดูหนังออนไลน์ พวกเขากลับพบว่าตัวเองกลายมาเป็นเหยื่อในเกมล่าสังหารของกลุ่มคนชั้นสูง ดูหนังฟรี ที่พยายามสร้างสรรค์สารพัดวิธีการเข่นฆ่าอันโหดเหี้ยมสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
Blumhouse เป็นสตูดิโอที่เราสามารถไว้ใจได้เรื่องของการสร้างหนังแนว horror/thriller
โดยเฉพาะเรื่องที่มีการเสียดสีการเมือง ชนชั้น สีผิว เพศ เชื้อชาติ หรือด้านมืดของสังคมมนุษย์ อย่างเช่น The Purge, Get Out ฯลฯ THE HUNT เป็นหนังอีกเรื่องจากบ้าน Blumhouse ที่เล่นประเด็นการเมืองและชนชั้นอย่างตลกร้ายและโหดเลือดสาด โดยบทภาพยนตร์ THE HUNT ของ Nick Cuse และ Damon Lindelof นี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องสั้น The Most Dangerous Game (ปี 1924) ของ Richard Connell ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคนรวยล่าคนจนเพื่อเกมกีฬา แต่คนรุ่นหลังแบบเรา ๆ อาจจะเห็น THE HUNT แล้วนึกถึง The Hunger Games ก็ไม่ผิด
หนัง THE HUNT เล่าเรื่องชนชั้นแรงงานหรือคนบ้านนอก (เราใช้คำนี้ตามที่ในหนังเค้าใช้) จำนวน 12 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนขาวและค่อนข้าง conservative (ภาษาอังกฤษเรียก “redneck”) ถูกลักพาตัว และตื่นขึ้นมากลางป่าแห่งหนึ่งอย่างงง ๆ ก่อนที่จะรู้ตัวว่าพวกเขากำลังถูกไล่ล่าโดยพวก liberal elite (หรือ “blue blood”) นำโดย Athena (Hilary Swank นักแสดงออสการ์นำหญิงสองสมัย) แต่การล่าครั้งนี้มันไม่ง่าย เมื่อ Crystal (Betty Gilpin จาก Isn’t It Romantic) หนึ่งในคนที่ถูกล่า กลับมีสกิลการต่อสู้และเคยเป็นทหารเก่า ทำให้ผู้ล่ากลายเป็นผู้ถูกล่าด้วยเช่นกัน
พล็อตเรื่องแนวเกมแมวไล่จับหนู รีวิวหนังnetflix THE HUNT
ถือเป็นโครงสร้างที่สามารถสร้างความระทึกให้กับผู้ชมได้อย่างไม่ยากเย็น แถมไม่ว่าเราจะเลือกเชียร์ฝั่งตัวเองหรือผู้ร้าย ก็ได้รับอรรถรสไม่แพ้กัน The Hunt คือหนังจากบลัมเฮาส์ โปรดักชั่นส์ ผู้สร้างแฟรนไชส์ The Purge และ Get Out ที่การันตีความโหดและตื่นเต้น แบบที่คุณกำลังมองหา
เล่าเรื่องราวของคนแปลกหน้า 12 คนที่ตื่นขึ้นมากลางป่าในสภาพงุนงงและไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนของโลก ระหว่างที่กำลังตั้งคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ เมื่อพวกเขาเริ่มเดินออกสำรวจบริเวณพื้นที่โดยรอบ กลับพบว่ากลางลานกว้างที่เนินหญ้าขนาดใหญ่มีกล่องลังไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่อย่างปริศนา ชายแปลกหน้าคนหนึ่งตัดสินใจวิ่งไปแงะกล่อง ท่ามกลางความหวาดกลัวของคนอื่นๆที่เหลือ ไม่นานนักเมื่อสิ่งในกล่องปรากฏขึ้น พวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ด้านในคืออาวุธหลากหลายรูปแบบ ทันทีที่พวกเขาเริ่มจับอาวุธห่ากระสุนก็เริ่มปริศนาก็เริ่มจู่โจมพวกเขา
หนังเริ่มต้นแบบตามสูตรหนังล่าคนที่เราคุ้นเคย ทำให้เราตายใจอยู่ชั่วครู่ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามสูตร ก่อนจะพลิกเรื่องราวแบบขนานใหญ่ ทำลายทุกความเชื่อถือของเราที่มีต่อหนังแนวนี้ เรียกว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้เลยทีเดียว พร้อมกับสอดแทรกอารมณณ์ขันแบบดาร์คๆ เอาไว้ เรียกว่าเป็นหนังที่บันเทิงมากๆ
อันดับแรกต้องขอบอกว่าผู้กำกับหนังสยองขวัญ The Hunt เกมล่าคน สามารถใช้พื้นที่ในการถ่ายทำราคาประหยัดออกมาถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างน่าสนใจ และเนื้อหาที่สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงการใช้สื่อที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายอย่างอินเทอร์เน็ต ในการนำมาทำลายชีวิตผู้อื่นได้อย่างง่ายดายถ้าหากใช้อย่างไม่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม หนังสยองขวัญ The Hunt เกมล่าคนก็เต็มไปด้วยความไร้สาระและไม่สมเหตุผลมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของบทสนทนาและบทเฉลยของเรื่องราวที่เป็นปมในการเกิดการจัดฉากไล่ล่าสุดโหด นอกจากนี้หนังสยองขวัญ The Hunt เกมล่าคน ยังเต็มไปด้วยความรุนแรง เลือดสาด ทำให้ไม่เหมาะกับเยาวชนรวมไปถึงคนที่ใจอ่อนสักเท่าใดนัก
ในเวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง หนังดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็ว
และมักมีความรุนแรง ชนิดที่เราต้อง ทำหน้าเหยเก/ปิดตา/อ้าปากค้าง/เอามือทาบอก แบบมิทันได้ตั้งตัวอยู่บ่อย ๆ แต่ถึงแม้หน้าหนังจะเหมือนหนังไล่ล่าฆ่าฟัน แต่ความโหดหรือฉากแอ็คชั่นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เนื้อหาจริง ๆ ของหนังเต็มไปด้วยไดอะล็อกที่ตลกร้าย เสียดสีการเมือง เพศ สีผิว เชื้อชาติ พอ ๆ กับพล็อตที่เน้นเสียดสีระบบชนชั้น และมี refer ถึง “Animal Farm” แต่กระนั้น สำหรับเรา THE HUNT เป็นหนังที่ดูฆ่าเวลา และไม่จำเป็นต้องดูก็ได้ เพราะยังห่างไกลจากคำว่ามาสเตอร์พีซ และยังถือว่ากลาง ๆ สำหรับมาตรฐานหนัง. Blumhouse
นับว่าเป็นหนังที่น่าสงสารมากซวยซ้ำซวยซ้อน ยูนิเวอร์แซลวางกำหนดฉายแรกไว้ตั้งแต่ 27 กันยายน 2019 ก็พอดีช่วงนั้นชาวอเมริกันยังรู้สึกสะเทือนใจกับเหตุกราดยิงที่ เดย์ตัน และ เอลปาโซ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2019 ยูนิเวอร์แซลก็เลยเลื่อนไปฉาย 13 มีนาคม 2020 ก็พอดีเป๊ะกับช่วงที่ โควิด-19 แพร่ระบาดพอดี แม้ว่าตัวอย่างหนังที่โหดเลือดสาดจะเรียกความสนใจคนดูได้จำนวนมาก
แต่ผู้คนก็ยังหวาดเกรงกับไวรัสเลยไม่ออกมาซื้อตั๋วดูหนังกัน ผลก็คือหนังทำรายได้ไปแค่ 9 ล้านเหรียญเท่านั้น จากทุนสร้าง 14 ล้านเหรียญ ยูนิเวอร์แซลก็เลยตัดสินใจปล่อยให้เช่าดูออนไลน์ภายในสัปดาห์ถัดมาหลังจากหนังเข้าฉายโรงกันไปเลย
เรื่องราวของคนแปลกหน้า 12 คน ซึ่งตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน และไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาถูกเลือกมา… สำหรับวัตถุประสงค์พิเศษ… ท่ามกลางทฤษฎีสมคบคิดทางอินเตอร์เน็ตสุดดาร์ก กลุ่มชนชั้นสูงรวมตัวกันเป็นครั้งแรกที่คฤหาสน์หลังใหญ่ เพื่อล่ามนุษย์เป็นเกมกีฬา แต่แผนการหลักของคนกลุ่มนี้กลับหยุดชะงัก เพราะ คริสตัล หนึ่งในผู้ถูกล่า รู้จักวิธีเอาตัวรอดจากนักล่าเป็นอย่างดี เธอจึงพลิกเกมของเหล่านักล่า และยิงนักล่าทิ้งทีละคน ในขณะเดียวกัน เธอก็เข้าไปใกล้กับ หญิงลึกลับ ที่อยู่เบื้องหลังการไล่ล่าครั้งนี้
พลอตหนังที่ว่าด้วย คนล่าคนในป่าเพื่อความสนุกนั้นก็ไม่ใช่พลอตแปลกใหม่
ฮอลลีวูดสร้างหนังแนวนี้ออกมาอยู่บ่อย ๆ ย้อนไปเรื่องแรก ๆ ก็ The Most Dangerous Game (1932) ส่วนที่ฮิตกันไปทั่วโลกก็อย่าง The Hunger Games นั่นแหละ แต่เมื่อ The Hunt เป็นหนังที่สร้างโดยค่าย BlumHouse ค่ายหนังสยองขวัญ ฉะนั้นก็ต้องเน้นฉากโหดเลือดสาดเพื่อตอบสนองคอหนังแนวนี้โดยเฉพาะ แล้วก็ต้องบอกว่า The Hunt ตอบสนองคอหนังโหดได้อย่างน่าพอใจ เพราะหนังเต็มไปด้วยฉากโหด มีฉากฆ่ากันตายให้เห็นกันแบบถี่ ๆ แล้วตายแบบสยดสยอง อี๋ แหยะ สุด ๆ
หนังถูกสร้างมาตามนโยบายของ Blumhouse คือเน้นทุนสร้างต่ำ นักแสดงส่วนใหญ่จึงโนเนม แต่ใน The Hunt เราก็ยังได้เห็นดาราขายชื่อได้อย่าง ฮิลลารี แสวงค์ มาเป็นชื่อขาย พ่วงมาด้วย เอ็มมา โรเบิร์ต แต่ที่น่าตลกก็คือ ฮิลารี สแวงค์ มารับบทเป็น อาเธนา บอสใหญ่ของบริษัทผู้จัดเกมคนล่าคน เกมที่ให้มหาเศรษฐีต้องจ่ายเงินก้อนโตเพื่อมาเล่นเกมล่าชีวิตคนจริง ๆ กลุ่มใหญ่
แต่หนังเปิดตัวอาเธนา ในแบบลึกลับถ่ายให้เห็นแค่ครึ่งล่างของเธอ กว่าจะไปเผยตัวก็ในช่วงท้ายของหนัง ซึ่งหนังก็โฆษณาชื่อเธอแบบโจ่งแจ้งอยู่แล้ว พอมาทำปิดบังในหนังมันก็เลยดูเป็นการทำงานสวนทางกันจังระหว่างทีมประชาสัมพันธ์ กับทีมผู้สร้างหนัง จะมาปิดบังหน้าตาไปทำมั้ย ทั้งที่มันไม่ได้สร้างความเซอร์ไพรส์เอาเสียเลย
เอาจริงๆ หนังเปิดตัวได้อย่างน่าสนใจ อารมณ์แบบเหมือนกำลังดู Battle Royale ของญี่ปุ่นอยู่เลยไม่ผิดเพี้ยน แล้วก็ตามมาด้วยฉากการไล่ฆ๋ากันแบบเลือดสาด ซึ่งช่วงแรกของหนังดูน่าตื่นเต้นและติดตามมากๆ แต่แล้วความเข้มข้นของหนังก็จางลงเรื่อยๆ ยิ่งช่วงกลางๆ เรื่องเป็นช่วงที่หนังพยายามจะเล่ารายละเอียดที่มาที่ไป แต่กลับทำให้ความน่าสนใจลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะช่วงที่หนังเปิดเผยตัวตนของคนที่จับจบมาไล่ฆ่า จากที่น่าจะเป็นปมสำคัญของเรื่อง กลายเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆ บางๆ ที่ใส่มาเติมเต็มเท่านั้น
นักแสดงนำ ทีมผู้สร้างได้คว้าตัว “เบ็ตตี้ กิลพิน” มารับบทเป็นคริสตัล(หรือสโนว์บอล) ซึ่งขอชื่นชมทีมผู้สร้างและตัวนักแสดงเอง ที่สามารถทำให้ตัวละครนี้โดดเด่นและมีเสน่ห์เหลือล้นอย่างมาก ทั้งเท่ ทั้งสวย ทั้งสตรอง และนอกจาก เบ็ตตี้ กิลพิน ยังได้ “ฮิลารี สแวงก์” มาประชันบทบาทอีกด้วย ซึ่งเธอก็ทำหน้าที่เธอได้อย่างดีเลยทีเดียว
การไม่ยัดเยียดปมตัวละคร รีวิวหนังnetflix THE HUNT
หลายๆครั้งในวงการหนังฮอลิวูดที่เราจะได้เห็นหนังระทึกขวัญเต็มไปด้วยการยัดเยียดปมตัวละครจนน่ารำคาญ หนังเรื่องนี้ไม่เล่ามากครับ หนังรู้ตัวเองดีว่าตัวเองจะขายกลุ่มผู้ชมกลุ่มไหนและจะมาแนวไหน หนังแตะๆ แค่พื้นผิวตัวละครและให้นักแสดง แสดงออกมาถึงคนดูเองว่าอดีตที่ปูมานั้นมีเอฟเฟคอะไรกับตัวละครมากหรือน้อยแค่ไหน มันจะแอบสอดแทรกมาในบทสนทนาสั้นๆของตัวละคร สองตัวครับ
ซึ่งผู้ชมต้องสังเกตเอาดีๆ ว่าในบทสนทนานั้นผู้กำกับกำลังเล่าอดีตอะไรของตัวเอกหรือตัวละครไหนอยู่และตัวละครนั้นรีแอคอดีตอันนั้นออกมาทางสีหน้าและท่าทางอย่างไร ซึ่งการทำบทพูดแบบนี้มันทำให้บทหนังเต็มไปด้วยความน่าสนใจมากเลยทีเดียวล่ะครับ และจากข้อดีส่วนนี้เอง จึงได้ผ่วงมาอีกข้อก็คือ…
หนังประมาณตัวเองเป็น The Hunt เองได้ขายตัวเองมาเป็นหนัง แอคชั่น คอเมดี้ ทริลเลอร์ ซึ่งหนังก็ทำหน้าที่ควบสามหมวดหมู่ได้อย่างดี แถมหนังไม่เล่นประเด็นอะไรเกินความจำเป็นจนล้นมือ ทำให้หนังดูสนุกแถมหนังยังไม่ได้ยาวมากเลยรู้สึกว่าดูแปปๆก็จบแล้ว ซึ่งต่างจากหนัง Blumhouse เรื่องอื่นๆอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นแฟรนไชส์ The Purge ที่พยายามจะเล่นทุกประเด็น ยัดดราม่า เสียดสีสังคมการเมือง
จนหนังไม่สามารถแบกรับได้ไว้ทั้งหมด ทำให้ประเด็นที่หนังใส่เข้ามานั้นดูยัดเยียดและพาลทำหนังน่าเบื่อ ความยียวนกวนประสาทของผู้กำกับเคร็ก โซเบล จาก Z for Zachariah และ The Leftovers คือการนำบรรดาดาราที่จัดได้ว่ามีชื่อเสียงพอสมควรมาเป็น “เหยื่อ” ถูกเชือดกันตั้งแต่รายแรก อาทิ เอ็มมา โรเบิร์ต, ดีน เจ เวส, ไอค์ บารินฮอลท์ส
แล้วหนังอาศัยวิธีการใช้กล้องหลักจับโฟกัสการหนีตายของพวกเขาจนกระทั่งสิ้นลมหายใจ ก่อนจะสลับกล้องไปนักแสดงคนอื่น ไปเรื่อยๆจนกว่าที่คนดูจะรู้ตัวจริงๆแล้วดาราชื่อดังเหล่านี้เป็นแค่ตัวประกอบ เพราะนักแสดงหลักที่แท้จริงคือ คริสตัล (เบ็ตตี้ กิลพิน) อดีตนาวิกโยธินหญิงที่เชี่ยวชาญด้านการรบ
ระหว่างเอาตัวรอดเธอก็ค้นพบความจริงว่า คริสตัลอยู่ท่ามกลางเกมล่ามนุษย์ของเหล่าชนชั้นสูงในสังคมที่เล่นสนุกกับการเอาคนเป็นๆมาฆ่าเล่น แต่เมื่อเธอไม่ยอมจะตกเป็นเหยื่อ เธอเลยสวนกลับเหล่าคนรวยด้วยการตามฆ่าพวกเขากลับทีละคน จนค้นพบว่าจริงๆแล้วกิจกรรมป่าเถื่อนครั้งนี้เป็นการวางแผนของหญิงลึกลับอย่าง (ฮิลารี่ สแวงค์) ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด