รีวิวหนังnetflix The Closet (2020)
ด้วยหวังล้างใจจากการสูญเสียไปในอุบัติเหตุรถยนต์ ซังวอน (ฮา จองอู) สถาปนิกหนุ่มได้พา อินา (ฮอยูล) ลูกสาววัย 11 ขวบหนีจากเมืองใหญ่ไปอยู่บ้านพักหรูในป่า ดูหนังออนไลน์ แต่สิ่งที่แถมมากับบ้านหลังนี้นอกจากความหรูหราก็คือตู้เสื้อผ้าโบราณในห้องนอนของอินาที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ประหลาด ๆ กับตัวอินาทั้งการพูดคุยกับเพื่อนในจินตนาการและยังมีตุ๊กตาผ้าเก่า ๆ ที่ไม่รู้อินาเอามาจากไหน ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
เป็นหนังผีหลอน กระตุกขวัญที่มีนักแสดงแถวหน้าอย่าง ฮาจองอู และ คิมนัมกิล เป็นแม่เหล็กเรียกความสนใจ และยังได้นักแสดงเด็ก หนูน้อยฮอยูล ที่เคยฝากฝีไม้ลายมือมาแล้วในซีรีส์ Mother (2018) และ The Guest (2018) ซึ่งเป็นแนวสยองขวัญเช่นกัน ถ้าใครเคยดู จะรู้ว่าน้องไม่ธรรมดาเลยล่ะ ทำให้เรื่องนี้มีความชวนดูขึ้นมาเยอะแน่นอน ดูหนังฟรี
ที่มาของเรื่องราวคือ สถาปนิก ยอนซังวอน (รับบทโดย ฮาจองอู)
เพิ่งสูญเสียภรรยาที่รักจากอุบัติเหตุรถชน เขาและลูกสาววัยสิบขวบรอดชีวิตมาได้ แต่สภาพจิตใจก็ยังไม่เป็นปกตินัก ตัวเขาเองมีความเครียดจนต้องพึ่งยาบ้าง การย้ายบ้านไปอยู่ห่างเมืองวุ่นวาย เป็นบ้านหลังใหญ่ที่ดูสงบเงียบ อาจเป็นการพยายามเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ รวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกสาวที่กระท่อนกระแท่น ไม่ราบรื่นเอื้อต่อการทำหน้าที่พ่อเลี้ยงเดี่ยว
ลูกสาวของเขา ยอนอีนา (รับบทโดย ฮอยูล) จากเด็กสดใสสมัยยังมีแม่ ก็กลายเป็นเด็กอมทุกข์พูดน้อย ไม่เปิดใจให้พ่อที่พยายามพูดดีทำดีด้วย ข้าวของตุ๊กตาโปรดมากมายที่พ่อประเคนมาเอาใจเธอ ก็ได้เพียงความเย็นชากลับไป แต่แล้ว จู่ๆอีนาก็เปลี่ยนไป เป็นเด็กอารมณ์ดีขึ้นทันตา บอกว่าสนุกกับการเล่นตุ๊กตากับเพื่อนใหม่ในห้องของเธอ และในบางคืนซังวอนก็รู้สึกเหมือนหูแว่วได้ยินเสียงแปลกๆจากห้องอีนา แต่ก็ไม่เคยพบเห็นอะไร
เนื่องจากซังวอน มีภารกิจต้องไปดูแลไซต์งานก่อสร้างโปรเจกต์ใหญ่ที่ต้องห่างบ้าน จึงคิดจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลลูก แต่ช่างหายากเย็นเหลือเกิน จนเขาเริ่มคิดเรื่องการส่งลูกไปอยู่ประจำในค่ายศิลปะ ตอบโจทย์ทั้งคนดูแล และบำบัดสุขภาพจิตไปด้วย แต่เขาก็โชคดีได้พี่เลี้ยงมาทันการ และโชคร้ายก็ตามมาด้วย เพราะเป็นวันที่จู่ๆอีนาก็หายสาบสูญไร้ร่องรอย
เขาติดตามหาลูกมานานหนึ่งเดือนเต็มโดยการพึ่งพาตำรวจ รีวิวหนังnetflix The Closet (2020)
พึ่งพาสื่อ แต่ไม่ได้ผลใดๆสักทาง ซ้ำยังทำให้เรื่องราวแย่ลงไปอีก จนกระทั่งมีหมอผีหนุ่ม คยองฮุน (รับบทโดย คิมนัมกิล) เสนอตัวเข้ามาช่วยจัดการตามหาอีนา เพราะเชื่อว่าเธอหายไปในมิติของโลกคนตายที่อยู่ระหว่างการไปสู่ปรโลก ปฏิบัติการต่อสู้กับภูติผีวิญญาณร้ายเพื่อนำตัวอีนากลับมาให้ได้ในเวลาที่จำกัดจึงเกิดขึ้น ซังวอนจะได้ตัวอีนาคืนกลับมาหรือไม่ ด้วยวิธีการอย่างไร ที่มาของอาถรรพ์สยองนี้คืออะไร และหมอผีคยองฮุนจะมีบทบาทอย่างไรบ้าง ต้องไปติดตามลุ้นดูกันเองค่ะ
“อีนา” ได้พบกับอะไรบางอย่างที่เป็นตัวเชื่อมโยง และ ลักพาจิตใจของเธอที่มีความรู้สึกโดดเดี่ยว หลุดเข้าไปในตู้ที่เต็มไปด้วยแหล่งรวมความรู้สึกที่บอบช้ำ ทันที “ซังวอน” รู้ว่าลูกสาวของตัวเองหายตัวไป การออกตามหาจึงเริ่มขึ้นมีทั้งคนที่หวังดีและไม่หวังดีหยิบยื่นน้ำใจเข้ามาพอสมควร รวมไปถึงคนนี้ “คยองฮุน” (คิม นัมกิล) ที่เป็นคนชี้ทางสว่างให้กับ “ซังวอน” ว่าเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง และ “คยองฮุน” ก็ได้บอกถึง สาเหตุที่ทำไป “อีนา” ถึงหายตัวไปนั้น ก็เพราะจริงๆ แล้ว ข้างในใจลึกๆ ของ “ซังวอน” เห็นงานสำคัญกว่าลูกสาวของตัวเอง และพยายามผลักเธอออกไปให้ห่าง “ซังวอน” ยอมรับและเข้าใจเรื่องนี้ดี จึงให้ “คยองฮุน” ที่เป็นหมอผี พาตัวเองเข้าไปสู่โลกคู่ขนานที่สามารถพาตัวของ “อีนา” กลับมาได้
ในโลกคู่ขนานนั้น เป็นโลกที่ถูกสร้างมาจาก “ฮยองจิน” เด็กวัย 11 ขวบ
ที่ครอบครัวเจอภาวะล้มละลาย เธอถูกพ่อแท้ๆ ขังไว้ในตู้เสื้อผ้า รมควันจนตายมันจึงเกิดเป็นปมของเรื่องนี้ขึ้นมา เธอพยายามตามหาเด็กที่โดนกระทำจากครอบครัวเฉกเช่นเดียวกับที่เธอได้โดนกระทำ ซึ่งในโลกคู่ขนานนั้นมีเด็กจำนวนมาก จนเรียกได้ว่าตั้งเป็นห้องเรียนได้เลย
เมื่อ “ซังวอน” สามารถเข้าไปในโลกคู่ขนานนั้นได้แล้ว เขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ “ฮยองจิน” ปล่อยตัวลูกสาวของตัวเอง โดยที่ให้เหตุผลว่าที่ผ่านมาตนเองเป็นคนผิดทั้งหมด แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปในแง่ดีสักเท่าไร จนกระทั้ง “คยองฮุน” หมอผีที่คอยช่วยซัพพอร์ตอยู่อีกฝั่ง นึกวิธีที่จะช่วย “ซังวอน” และ “อีนา” ก็คือ กลับไปจัดการกับปมปัญหาของ “ฮยองจิน” ก็คือการดูแลเลี้ยงดู และการไว้ใจ
หลังจากนั้น “ซังวอน” พาลูกสาวกลับมาได้สำเร็จ และมีเวลาดูแลเธอมากขึ้นใส่ใจมากขึ้น แต่…ฉากทิ้งท้ายในภาพยนตร์เรื่องนี้คือการที่เด็กคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้า ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ถึงแม้ว่าจะมี “ฮยองจิน” ที่เป็นแกนนำในการดึงตัวเด็กเข้าไปในโลกคู่ขนานนั้น ก็ยังมีผีตัวใหม่ๆ ที่ทำเช่นนั้นอยู่ เพราะในโลกของความเป็นจริงยังมีเด็กอีกมากมายที่ไม่ได้รับการดูแลที่ดีจากครอบครัว
หลังดูหนังจบสิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนมากคือร่องรอยแรงบันดาลใจของหนังผีแบบเจมส์ วาน ที่อยู่ในแต่ละองค์ประกอบของหนัง โดยเฉพาะประเด็นความสัมพันธ์ในครอบครัว การเล่นกับพื้นที่และสิ่งของในบ้านที่แทบจะเหมือน The Conjuring หรือหนังในตระกูลใกล้เคียงกัน ตลอดไปจนการสอดแทรกอารมณ์ขันเมื่อตัวละครอย่าง คยองฮุน ปรากฎตัวขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นการเลียนแบบอย่างไร้ยางอายตรงกันข้าม มันยังเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่พยายามหนีไม่ให้หน้าหนังไปเทียบเคียงกับงานหนังฮอลลีวูดเรื่องดัง แถมยังมีศักดิ์ศรีที่พอแข่งกันได้อย่างสมศักดิ์ศรีอีกด้วย
สำหรับฉากสยองขวัญที่ส่วนตัวมองว่าน่ากลัวที่สุดหนีไม่พ้นการปรากฎตัวของผีหมอผี
และการหลบจากการโจมตีของเหล่าผีเด็กที่ทำให้ ซังวอน ไม่อาจลืมตาได้ ซึ่งตรงนี้นี่เองที่ถือว่าหนังสามารถทำได้อย่างชวนลุ้นระทึก น่ากลัว และสยองขวัญสมใจคนอยากดูหนังผียิ่งนัก แต่กระนั้นก็ตามอย่างที่บอกไปในย่อหน้าที่แล้วว่ามันคล้ายหนังผีของเจมส์ วานตรงที่มันต้องมีครบรสซึ่งก็ทำให้ช่วงหลังของหนังทอนความน่ากลัวออกแล้วไปเน้นให้ลุ้นระทึกไปกับการสอบสวนหาความจริง ที่ก็ดันไปพูดเรื่องชนชั้นแบบเดียวกับ Parasite อีก ซึ่งก็ถือว่าเป็นประเด็นร่วมที่คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้และทำให้บทหนังของ The Closet มีสาระที่ทำให้คนดูได้ออกมาถกเถียงกันต่อได้ดี แม้จะไม่เข้มข้นเท่าของหนังออสการ์เรื่องดังก็ตาม
และแน่นอนแล้วว่าสำหรับเกาหลี หนังคือเครื่องมือเผยแพร่วัฒนธรรมดังนั้น The Closet จึงพาเราไปรู้จักกับวัฒนธรรมหมอผี หรือเชมัน ในลัทธิชิน ซึ่งถือเป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรมของเกาหลี แถมรัฐบาลยังสนับสนุนงานวิจัยและการสร้างสรรค์งานแสดงจากรากเหง้าวัฒนธรรมนี้อย่างจริงจังด้วย (จริงจังขนาดไหนก็ถึงขนาดผลักดันให้กลายเป็นนาฏศิลป์ร่วมสมัยแสดงที่โรงละครขนาดยักษ์)
และก็ดันประจวบเหมาะกับการพยายามผลักดันให้มันมาอยู่ในสื่ออันทรงพลังอย่างภาพยนตร์ โดยก่อนหน้านี้วัฒนธรรมการไล่ผีก็อยู่ในหนังอย่าง The Wailing ของผู้กำกับนาฮงจินมาทีนึงแล้ว และกับ The Closet มันก็ทำให้เกิดตัวละครอย่าง คยอง ฮุน ที่แทบไม่ต่างจากซูเปอร์ฮีโรมาปราบผีหรือหมอผีเท่ ๆ อย่าง คอนแสตนติน ของอเมริกาได้เลย ซึ่งก็ถือเป็นการเอาวัฒนธรรมชามันมาขายให้ชาวโลกได้รู้จักแบบเนียน ๆ ได้อีกด้วย
คำถามแรกสุดสำหรับการรีวิวหนังผีทุกครั้ง รีวิวหนังnetflix The Closet (2020)
มักถูกถามว่าน่ากลัวไหม ดูดีไหม คนกลัวผีจะดูไหวไหม อันนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับความชอบ และความจิตแข็งของแต่ละคน ผู้เขียนคงบอกได้แค่ว่า หนังผีก็ต้องมีฉากผีหลอนเป็นเรื่องปกติ หลอกธรรมดาคงไม่ตกใจ ก็ต้องหลอกทีเผลอให้สะดุ้ง โหมภาพและซาวน์ให้ตื่นเต้นระทึกขวัญ จึงจะสมศักดิ์ศรีเป็นหนังผี ใช่ไหมคะ เรื่องนี้ก็จัดให้พอชวนขนลุกอยู่บ้าง
ความน่าดูของการปราบผีเรื่องนี้ มีการเสริมกรรมวิธีที่ทันสมัย อิงความเป็นวิทยาศาสตร์บ้าง เขย่ารวมไปกับความเป็นไสยศาสตร์ด้วยพิธีกรรมแบบพื้นบ้านดั้งเดิม ทำให้โทนโดยรวมดูทันสมัย น่าติดตามมากขึ้น เพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือด้วย
ความน่าสนใจของเนื้อหาที่ขมวดเรื่องความสัมพันธ์พ่อลูก ครอบครัว มาใช้วางพลอตและคลี่คลายปม การแฝงสะท้อนปัญหาสังคมเล็กๆเรื่องความยากจนของคนหาทางออกไม่ได้ การฆ่าตัวตาย และปัญหาเด็กหายซึ่งมีเยอะมากในทุกๆสังคม ก็เป็นสาระที่ดี แต่ในมุมของการถ่ายทอดอารมณ์ดูจะไปได้ไม่สุดนัก เพราะตัวบทที่อาจไม่เอื้อการขยี้อารมณ์ เนื้อหาไม่ได้ทะลุปล้องจากที่มายันที่ไปให้อินตามได้สุด
ส่วนมุมอารมณ์ขันที่หยอดแซมไว้บ้าง ก็ชวนให้โมเมนท์ของซังวอนกับคยองฮุน ในสถานะของผู้ว่าจ้าง-ผู้รับจ้างมืออาชีพ ซึ่งในอีกมุมหนึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นคู่หูกลายๆ มีเคมีที่น่ารักดี มีความโบรมานซ์นิดๆ บุคลิกของคิมนัมกิลบางส่วน ดูแล้วก็จะชวนนึกถึงเขาในซีรีส์ The Fiery Priest เลย แค่ว่าไม่ได้หัวร้อนแบบนั้น
ปิดท้ายด้วยความรู้สึกแรกที่ผู้เขียนเห็นจั่วหัวชื่อเรื่องจากเกาหลีมาว่า The Closet ก็ชวนให้นึกถึงตู้พิศวงในเรื่อง Narnia ขึ้นมาทันที เพราะมีความเป็นตู้ที่มีมิติลึกลับเหมือนกัน แต่ The Closet อาจเป็นภาคดาร์คภาคหลอนของ Narnia ซะมากกว่า 555 ยิ่งเมื่อเจอชื่อไทยเข้าไป ‘ตู้นรก ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด’ บางคนอาจถึงขั้นผงะกลัวขาสั่น ตั้งใจให้เป็นผีหลอนฉบับจริงจังมาก เอาเป็นว่าถ้าใครชอบขนลุกแบบมีเนื้อหาสาระ ก็ลองหามาชมกันดูได้ค่ะ สนุกพอใช้ได้ค่ะ