รีวิวหนังnetflix Spiderhead
รีวิวหนังnetflix Spiderhead ยาพูดคล่องทำให้พวกเขาพูดจาฉะฉาน ยาความรักทำให้พวกเขาตกหลุมรักกันอย่างง่ายดาย อย่าทรมานทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวด ยาโลกสวยทำให้พวกเขาเห็นสิ่งต่าง ๆ งดงาม นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสไปเดอร์เฮด เรือนจำเทคโนโลยีสุดล้ำ แต่แท้จริงแล้วไม่มีอะไรเป็นอย่างที่เห็น เว็บดูหนัง
หนังเน็ตฟลิกซ์เรื่องนี้นับเป็นโปรเจกต์ที่น่าสนใจในแง่การรวมทีมของผู้สร้าง ทั้ง โจเซฟ โคซินสกี (Joseph Kosinski) ที่เพิ่งมีผลงานหนังแห่งปีไปใน ‘Top Gun: Maverick’ (2022) แม้ตัวเขาเองจะมีผลงานไม่กี่เรื่องแต่น่าสนใจว่ามักได้รับโปรเจกต์แอ็กชันไซไฟทุนสูงที่ประกบกับดาราใหญ่ ๆ อยู่เสมอ
และสำหรับหนังเรื่องนี้เป็นการนำเรื่องสั้นแนวไซไฟจิตวิทยาสยองขวัญชื่อ ‘Escape from Spiderhead’ ที่อยู่ในหนังสือรวมเรื่องสั้นชื่อ ‘Tenth of December’ ของ จอร์จ ซอนเดอร์ส (George Saunders) มาดัดแปลงผ่านคู่หูมือเขียนบทผู้ปั้นแฟรนไชส์ ‘Deadpool’ และ ‘Zombieland’ รวมถึงหนังเน็ตฟลิกซ์ ‘6 Underground’ (2019) อย่าง เรตต์ รีส (Rhett Reese) และ พอล เวอร์นิก (Paul Wernick) ซึ่งเราก็แอบหวังความสะแด่วในบทเช่นผลงานเดิมที่เขาเคยทำมา เว็บดูหนังฟรี
เมื่อดูจากองค์ประกอบที่ว่ามาจึงเป็นหนังที่เน็ตฟลิกซ์ก็คงคาดหวังความสำเร็จอยู่ไม่น้อย ทว่าสิ่งที่เป็นปัญหาอย่างหนึ่งคือคู่หูมือเขียนบท ที่แม้จะเคยมีงานสยองขวัญในยานอวกาศอย่าง ‘Life’ (2017) มาบ้าง แต่ก็พูดได้ว่าความโดดเด่นของพวกเขาไม่ได้เหมาะกับหนังที่ฉากพื้นที่จำกัด ตัวละครไม่กี่ตัว และแง่มุมจิตวิทยาแบบพวกเรื่องสั้นนัก ยิ่งแทบไม่ต้องใช้ความตลกในเรื่องเลยด้วยนี้ยิ่งรู้สึกเสียดายความตลกสายปั่นของทั้งคู่อย่างมาก
สไปเดอร์เฮด เล่าเรื่องราวของเรือนจำสุดไฮเทคบนเกาะกลางทะเลชื่อสไปเดอร์เฮด เป็นที่คุมขังนักโทษอุฉกรรจ์ แต่เซ็นสัญญากับรัฐ ให้ย้ายตัวเองเข้ามาอยู่ในเรือนจำที่ค่อนข้างมีอิสระในการใช้ชีวิต แต่ต้องแลกมากับการทดลองยา โดยมีหัวหน้าคือสตีฟ เขาจะฉีดยาที่มีผลต่ออารมณ์ของนักโทษที่อาสาสมัคร เพื่อทดสอบยาที่มีออกฤทธิ์แตกต่างกันไปให้กับนักโทษแต่ละคน นักโทษจะต้องติดกล่องยาบรรจุแคปซูลกับกระดูกสันหลัง การฉีดยาจะถูกควบคุมโดยสตีฟและผู้ช่วยของเขา ยาแต่ละชนิดจะออกฤทธิ์ต่างกันเช่น
ยาพูดคล่องทำให้พวกเขาพูดจาฉะฉานแม้จะอยู่ในภาวะไม่อยากพูด ยาความรักทำให้พวกเขาตกหลุมรักกันอย่างง่ายดาย และมีความสัมพันธ์โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมาก่อน ยาอารมณ์ดีทำให้มีความสุขแล้วหัวเราะได้ตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่มีความทุกข์อยู่ ยาทรมานทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดรวดราวจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ยาโลกสวยทำให้พวกเขาเห็นสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหนก็งดงามได้ และดูเหมือนว่านักโทษทุกคนนั้นต่างก็ยินดีจะรับยาพวกนี้
แต่นักโทษคนหนึ่งชื่อว่าเจฟฟ์ ที่รับยาพวกนี้มาบ่อยครั้งจนแทบนับไม่ได้ และไม่ว่าจะถูกให้ยาชนิดไหนเขาก็แทบจะไม่เคยปฏิเสธ เพราะนี่มันคือเสมือนการลงโทษตัวเองต่อความผิดบาป ที่เขาได้เธอกระทำไว้กับคนที่เขารักจนตัวเองไม่มีวันให้อภัย ยาที่เขาถูกฉีดให้บ่อยครั้งที่สุดก็คือยาแห่งความรัก ทุกครั้งที่เขาถูกยาชนิดนี้ก็จะมีเพศสัมพันธ์อย่างดุเดือดกับผู้ทดลองอีกหนึ่งคนทุกครั้ง หนังฟรี
เนื้อหาคร่าวๆของ Spiderhead จะเล่าเกี่ยวกับตัวละคร สตีฟ แอ็บเนสตี เจ้าของเรือนจำสุดไฮเทคกับการทดลองยาบางอย่างที่จะสามารถเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกหรือบุคลิกภาพของคนได้อย่างตามใจนึก และบรรดานักโทษที่เข้าร่วมโครงการครั้งนี้ก็ล้วนตัดสินใจอาสามาทดลองด้วยตัวเองแลกกับอิสระที่จะไม่มีการคุมขัง มีห้องพัก มีอาหาร คอยเซอร์วิสเต็มที่ แต่แล้วการทดลองก็เริ่มไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เมื่อนักโทษคนสนิทอย่าง เจฟฟ์ เริ่มสัมผัสได้ว่าสตีฟเองกำลังทำบางอย่างที่เกินขอบเขตเกินควบคุมได้
หนังเป็นการเล่าเรื่องความคิดของตัวละครเจฟฟ์ที่ตกอยู่ในการทดลองหนึ่งซึ่งมีความแปลกประหลาดหลายอย่างคล้ายการทดลองทางจิตวิทยาในตำราที่เราเคยผ่านตามา ผู้ถูกทดสอบต้องเลือกตัดสินชะตาชีวิตของผู้อื่น โดยมีตัวแปรเรื่องของการให้ยาที่เปรียบไปว่าอารมณ์ความรู้สึกของคนที่แสดงออกมาก็เป็นผลจากสารเคมีที่สมองหลั่ง แล้วตัวตนหรือเจตจำนงอิสระของเราจะมีอยู่จริงหรือไม่ถ้าเราเป็นแค่ทาสของปฏิกิริยาเคมีในสมอง
วันหนึ่งสตีฟ ได้นำราเชลเข้ามาในห้องทดลองโดยจะฉีดยาทรมานให้เธอ โดยให้เจฟฟ์เป็นผู้กดปุ่มปล่อยยาให้เธอ แต่เขากลับปฏิเสธเพราะการให้ยาโดยเฉพาะยาทรมานไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง และอีกเหตุผลหนึ่งคือ ก่อนหน้านี้เขาได้พบว่าสตีฟ เรือนจำสุดไฮเทค และยาที่ให้กับนักโทษนั้นมีลับลมคมในบางอย่าง ผิดหลักมนุษยธรรม ผิดกฏหมาย และจะส่งผลอันเลวร้ายต่อผู้คนทั้งโลกในอนาคต
สไปเดอร์เฮดเป็นหนังจาก netflix ที่สร้างมาจากเรื่องสั้นชื่อ Escape from Spiderhead ของ จอร์จ ซอนเดอร์ เผยแพร่ในเดอะนิวยอร์คเกอร์ นำแสดงโดยคริส เฮมส์เวิร์ธ ที่รับบทเป็นผู้ดูแลคุกสไปเดอร์เฮดและผู้วางแผนทดลองยาวิเศษ และ ไมลส์ เทลเลอร์ ผู้รับบทเจฟฟ์ เป็นนักโทษผู้รู้ถึงพิษภัยของยาวิเศษะต้องการจะถูกปลดปล่อยจากคุกนี้ หนังใหม่
นี่เป็นหนังทริลเลอร์ไม่ใช่หนังแอ็กชั่นใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องราวจึงดำเนินไปแบบเน้นบทสนทนากับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวทดลอง โดยเราก็เป็นเหมือนผู้ขมการทดลองในเรื่องเช่นกันว่าจะออกมาแบบไหน ซึ่งเอาจริงๆ อารมณ์ทริลเลอร์ระทึกๆ ในเรื่องก็แทบไม่มีให้เห็นเท่าไหร่ ทุกฉากที่ออกมาเป็นฉากเน้นบทสนทนาไปเรื่อยๆ ฉากในเรื่องนี้ก็ซ้ำๆ มีแค่ฉากห้องทดลองซะ 80% ของเรื่อง นอกนั้นก็เป็นสถานที่นอกห้องนิดหน่อยที่เหล่านักโทษทำกิจกรรมต่างๆ ตอนจบมีออกไปด้านนอกไม่ถึง 5 นาทีก็จบเรื่อง มีหลุดมาเป็นฉากทริลเลอร์ก็แทบไม่ถึง 1% ของเรื่อง ทั้งๆ ที่ตัวเนื้อเรื่องมันก็มีจุดชวนให้ระทึกได้อยู่
จากความสงสัยว่าการทดลองนี้จริงๆ แล้วมันคืออะไร ยาพวกนี้มีขอบเขตอันตรายแค่ไหน แต่ด้วยความที่เรื่องเล่าแบบล่องลอยไปเรื่อยๆ โดยค่อยๆ ให้เห็นว่าอดีตของตัวเอกไมล์ที่ดูเป็นคนดีในปัจจุบัน แต่มีโทษร้ายแรงในอดีตจากอะไร ซึ่งพอเฉลยมาก็ไม่ได้เซอไพรส์อะไรเลยสักนิด ตัวยาที่ดูจะมีโทษร้ายแรงก็ไม่ได้เน้นอะไรมาก แต่ไปโฟกัสว่าตัวเอกสตีฟที่พี่คริสเล่นเป็นตัวร้ายที่แอบทดลองผิดจรรยาบรรณกับนักโทษมากกว่าผลร้ายแรงจากยา ซึ่งรวมๆ แล้วเรื่องแทบจะเบาหวิว ไม่ได้มีฉากระทึกขวัญหรือรุนแรงอะไรเลยทั้งสิ้น
หนังเดินหน้าด้วยการใส่คอนเซ็ปต์และความคิดตามแบบเรื่องสั้นของซอนเดอร์สที่เล่ามาในย่อหน้าบนอย่างซื่อตรงจนขาดลูกเล่นดึงดูดในแบบหนัง และที่แย่ไปกว่านั้นคือเลือกเปลี่ยนตอนจบของเรื่องสั้น (ซึ่งในหนังคือฉากการทดลองของตัวละครหญิงคนหนึ่งที่มาถึงครึ่งเรื่องพอดี) ให้ต่อขยายออกไปอีกและพยายามสร้างบทสรุปใหม่ ให้แปรเปลี่ยนจากหนังดราม่าไซไฟที่เข้มข้นด้วยจิตวิทยาและการตั้งคำถามเชิงปรัชญา ไปสู่หนังแอ็กชันธริลเลอร์ที่ทื่อและขาดความเฉียบคมไปแทน
หนังกำกับโดยโจเซฟ โคซินกี้ ผู้กำกับมากฝีมือที่เคยฝ่าผลงานไว้กับ Top Gun: Maverick (2022) , Oblivion (2013) , Torn: Legacy (2010) จากรายชื่อนักแสดงและผู้กำกับก็สามารถการันตีในเบื้องต้นได้ว่าสไปเดอร์เฮด น่าจะมีอะไรที่น่าสนใจและสร้างความประหลาดใจให้กับคนดู
แต่หลังจากดูจบแล้วส่วนตัวผมกลับรู้สึกว่าสไปเดอร์เฮด ไม่ได้มีอะไรที่สร้างความน่าสนใจหรือสร้างความประหลาดใจเลย หนังดำเนินเรื่องได้ค่อนข้างน่าเบื่อ วนเวียนอยู่แต่ในคุกสุดไฮเทค แต่ดูแล้วก็แทบไม่มีอะไรให้เห็นว่ามีแต่ความไฮเทคเลย
หนังวนเวียนอยู่กับการทดลองยาที่มีความหลากหลายอารมณ์ให้กับนักโทษ แล้วก็วนกลับเข้าสู่ปรัชญาที่ตั้งคำถามกับความถูกต้อง ระหว่างการลงโทษนักโทษให้คุมขังอย่างไร้อิสระทุกข์ทนในที่แคบ กับถูกคุมขังใจที่สบายอิสระแต่ต้องแลกกับการทดลองยาที่ผิดหลักมนุษยธรรม ดูหนังฟรี
ผนวกกับการนำเสนอความรู้สึกผิดบาปที่อยู่ภายในใจของนักโทษที่ได้กระทำความผิดไปในอดีต จนนำมาสู่การคุมขังในคุกแห่งนี้ แล้วหนังก็ได้บอกกับเราว่า เพราะเหตุใดนักโทษทุกคนนั้นจึงล้วนแล้วแต่ไม่มีใครอยากปฏิเสธยาถึงแม้จะรู้ว่าผลที่ได้รับนั้นจะทรมานมากมายขนาดไหนก็ตาม
เราไม่มีปัญหากับการแสดงของทั้งเฮมเวิร์ธที่พยายามไปกับบทที่ไม่ค่อยส่งเขานัก และชื่นชมการถ่ายทอดของเทลเลอร์ที่แบกหนังไปด้วยได้แม้จะไม่ได้รู้สึกว่าเป็นบทที่ท้าทายอะไรเขาเช่นกัน ประมาณว่าเขาก็เล่นเป็นตัวเองไปได้เลย ดังนั้นปัญหาที่หนังเป็นจึงมาจากทิศทางการนำเสนอที่อุตส่าห์เลือกต้นธารชั้นดีมาจากเรื่องสั้นที่เด่นในการนำเสนอเชิงลึก
แต่ผู้กำกับกับคนเขียนบทดันอยากจะเล่าในแบบหนังตลาดซึ่งมันไม่ควรเอาเรื่องสั้นนี้มาทำแต่แรกมากกว่า เปรียบไปเหมือนถ้ามีใครอยากรีเมก ‘2001: A Space Odyssey’ แต่มีโจทย์นำเสนอว่าขอให้สนุกแบบหนังมาร์เวลให้ขายง่าย ๆ คำถามคือแล้วจะไปรีเมกงานปรัชญาแบบนั้นทำไมแต่แรก
รีวิวหนังnetflix Spiderhead
ทั้งนี้หนังก็ได้แสดงให้เห็นภาพความกระทำผิดของตัวเอกในเรื่อง ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่สลับกับเรื่องราวในปัจจุบันด้วย ซึ่งดูแล้วก็รู้สึกเข้าใจว่า ทำไมเขาถึงเลือกที่จะมารับโทษในการทดลองยาในคุกกลางทะเลแห่งนี้ และเมื่อตัวละครพูดว่าทำไมเขาถึงไม่ปฏิเสธยา เราก็เข้าใจได้ทันที แต่เสียดายที่เขาทำให้เห็นภาพแบบนี้กับตัวละครหลักเพียงคนเดียวเท่านั้น ตัวละครอื่นนำเสนอเพียงแค่การพูดจากปาก ก็เขาใจว่าน่าจะประหยัดงบประมาณ
นอกจากนี้ก็ยังเป็นการตั้งคำถามว่า คุกที่กักขังร่างกายและอิสรภาพ กับคุกที่กักขังความผิดบาปในใจสิ่งไหนน่ากลัวกว่ากัน
ในด้านการแสดงก็พอไปได้ไม่ได้มีอะไรติดขัด บุคลิกของสตีฟที่แสดงโดย คริส เฮมสวิร์ธ ดูแล้วก็ค่อนข้างน่ารำคาญพูดมากสมกับบุคลิกตัวละคร ดูแล้วก็รู้ทันทีเลยว่าไอ้ตัวละครตัวนี้ไม่ได้เป็นคนดีอย่างแน่นอน และก็ไม่น่าเชื่อว่าพี่ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้าของเราจะมาเล่นหนังอะไรแบบนี้
นอกจากนี้หนังก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนัก ก็แค่ทำให้เห็นว่ายาตัวที่รุนแรงที่สุดนั้นมันส่งผลต่อคนอย่างไรบ้าง แล้วเมื่อตัวละครเอกของเรื่องรับรู้ว่าคุกแห่งนี้ไม่ชอบมาพากลก็ต้องการจะแหกคุกแห่งนี้ไปก็เท่านั้นเองนี่คือความรู้สึกที่เรามีต่อหนังเรื่อง ‘Spiderhead’ มันดูเต็มไปด้วยความคิดแต่สุดท้ายไม่หนักแน่นพอที่จะเดินไปสุดแนวทางนั้น แม้แค่ความหดหู่สยองขวัญสั่นประสาทหรือความดำมืดในจิตใจมนุษย์มันก็ไม่กล้าจะแตะ ภูมิหลังของตัวละครที่รอการเฉลยมาทั้งเรื่องว่าจะดาร์กขนาดไหน แต่พอรู้ก็..แล้วไงนะ เป็นหนังที่เบาบางดูแล้วจบกันไปอย่างที่ไม่อยากเชื่อสายตาว่ารายชื่อทีมสร้างเป็นใครกันบ้าง
ในส่วนความน่าสนใจของตัวละครนั้น หลักๆบทมันจะกองอยู่ที่สตีฟกับเจฟฟ์ซะเป็นส่วนใหญ่ การปูเรื่องมาจนไปถึงเฉลยในตอนท้ายก็เล่าผ่านสองคนนี้เป็นหลัก ยิ่งตัวละครอย่างเจฟฟ์ที่แสดงโดยคุณไมลส์ เทลเลอร์ ตัวผู้เขียนเองค่อนข้างชอบเป็นพิเศษ เจ้าตัวเป็นตัวละครที่ค่อนข้างมีมิติ อารมณ์ต่างๆที่สื่อสารผ่านสีหน้าแววตาเวลาโดนกระตุ้นด้วยยาก็แสดงออกมาได้ดีเกินคาด และยิ่งหนังใส่แบ็คกราวด์เบื้องหลังชีวิตของเจ้าตัวเข้ามาด้วยมันก็ยิ่งทำให้คนดูอินไปกับตัวละครคนนี้ได้ไม่ยาก
ถึงแม้ Spiderhead เรื่องนี้จะวางคอนเซ็ปต์มาดีแค่ไหน แต่มันก็ยังดีไม่พอเมื่อมององค์ประกอบทั้งหมดจะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกม้าตายในส่วนการเล่าเรื่องอย่างชัดเจน หรือถ้าจะบอกว่านี้คือหนังที่เปิดเรื่องโคตรดีแต่จบโคตรแป้กก็ดูเป็นคำพูดที่ไม่เกินจริงเลย ประเด็นเรื่องการทดลองยาที่ทำหน้าที่ได้ดีแค่ช่วงต้นเรื่องเท่านั้น หรือพวกปริศนาที่ทิ้งไว้กับคนดูก็ถูกเฉลยในตอนจบได้ไม่หนักแน่นพอ อีกทั้งในตอนจบที่หนังเปลี่ยนโทนของตัวเองจากแนวทริลเลอร์ที่ค่อยๆเบิร์นคนดูที่ไปทีละนิด กลายเป็นแอ็คชั่นทริลเลอร์รีบตัดจบแบบหนังตลาดไปซะดื้อๆ
ส่วนอารมณ์ของหนังก็เรียบง่าย ไม่ได้ตึงเครียดจนเกินไป และไม่ได้เบาสบายจนเป็นหนังตลกไปเลย ก็นับว่ากลางๆและด้วยความที่กลางนี่เองจึงทำให้เรารู้สึกว่ามีอารมณ์น่าเบื่อกับหนังเรื่องนี้มากกว่าอารมณ์สนุกสนานเพลิดเพลินสไปเดอร์เฮด แม้จะให้ปรัชญาหรือแนวคิดกับคนดูแต่ก็ไม่ได้มากมายและหนักแน่นอะไรนัก หัวใจสำคัญที่ว่าด้วยการยอมรับความผิดบาป หนังหลายเรื่องก็ได้พูดไปหมดแล้ว
และหากจะพูดในแง่ของยาวิเศษ ก็ไม่สามารถเทียบอะไรได้กับยาวิเศษที่เกิดขึ้นในหนังหลาย ๆ เรื่องอย่าง Limitless (2011) หนังที่ทำให้เห็นว่ายาวิเศษสามารถพัฒนาสมองมนุษย์ให้กลายเป็นอัจฉริยะได้ หรือ Project Power (2020) หนังจาก netflix ที่ทำให้เห็นได้ยาวิเศษนั้นสามารถเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ได้ ดูหนังออนไลน์
ดังนั้น จากที่กล่าวไปทั้งหมด Spiderhead ก็เป็นเพียงหนังที่มีอารมณ์ดิสโทเปีย หรือโลกในอุดมคติ ที่ต้องการจะทำให้โลกขาวสะอาดสดใสงดงาม แต่วิธีการที่จะนำทางไปนั้นกลับเป็นสีดำ ทั้งยังบอกว่าโลกจินตนาการที่มีแต่คนดีและสิ่งดีนั้นมันไม่มีอยู่จริงและไม่มีทางเป็นไปได้นั่นเองก็นับว่าเป็นหนังที่พอดูได้ ทำงานบ้านไปทำการบ้านไป หรือเปิดทิ้งเอาไว้ในขณะอ่านหนังสือก็ได้ เปิดเอาไว้เป็นเพื่อนแก้เหงาก็ไม่เสียเวลาครับ