รีวิวหนังnetflix Spider-Man : No Way Home
เรื่องราวนี้จะต่อเนื่องจากเหตุการณ์ในภาคก่อนหน้าอย่าง Spider-Man: Far From Home (2019) หลังจากที่ Peter Parker (Tom Holland) ถูกเปิดเผยตัวตนว่าเป็น Spider-Man หนังฟรี ทำให้เขาต้องเจอกับมรสุมมากมาย ซึ่งมีทั้งคนที่ชอบเขาและไม่ชอบเขา เมื่อเด็กหนุ่มรับกับความกดดันเหล่านี้ไม่ไหว หนังใหม่ จึงตัดสินใจเดินทางไปขอความช่วยเหลือกับ Dr.Strange ให้ช่วยร่ายคาถาให้ทุกคนในโลกลืมไปว่า Spider-Man คือ Peter Parker ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022
หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างปรากฎการณ์ด้วยการกวาดรายได้ครั้งใหญ่ไปเมื่อปลายปีที่แล้ว
และในตอนนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้เข้ามาให้เราได้รับชมกันแล้วทาง Netflix ดูหนัง ส่วนตัวผมดูเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่ฉายในโรงภาพยนตร์แล้ว เอาละมาเริ่มรีวิวกันเลยดีกว่า ความรู้สึกหลังจากได้ดู ผมค่อนข้างชอบอยู่พอสมควร แต่ไม่ได้ถึงกับตราตรึงใจ เริ่มที่บทก่อนเลย ส่วนตัวผมมองว่าบทของภาคนี้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทั่วไปนะ ไม่ได้ลึกซึ้งซับซ้อนอะไรมากมาย เข้าใจง่าย เน้นความบันเทิง ดูหนังออนไลน์ แต่บทก็ยังไม่ได้อ่อนจนเกินไป คือกำลังดีเลย ถือว่าครบรสพอสมควร มีทั้งดราม่า ความรัก พัฒนาการของตัวละคร และความสนุกสนานตามสไตล์ของ ดูหนังออนไลน์ Spider-Man ที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ซึ่งบทผมมองว่ามันทำให้ดีกว่านี้ได้ แต่ที่เป็นอยู่ก็ถือว่าโอเคแล้ว ต่อมาด้านการดำเนินเรื่อง ดูหนังฟรี ในส่วนนี้ผมมองว่าทำได้ดีเยี่ยมเลย เล่าเรื่องกระชับ เข้าใจง่าย มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งมีความน่าติดตามและทำให้เราโฟกัสกับหนังไปได้จนจบ ไม่มีช่วงไหนที่น่าเบื่อเลย ดูเพลินมากๆ ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
มิสเทริโอก็วางระเบิดตูมสุดท้ายด้วยการปล่อยคลิปเฟกนิวส์ผ่านจอ LED ที่กล่าวหาว่าปีเตอร์เป็นคนสังหารเขาอย่างป่าเถื่อน ดูหนัง กล่าวหาว่าปีเตอร์โอ่อ้างจะเป็นไอรอนแมนคนถัดไป ข่าวนี้ยังไปถึงหู ‘เจ. โจนาห์ เจมส์สัน’ (J.K. Simmons) นักข่าวสำนักข่าวออนไลน์ TheDailyBugle.net ออกมาแฉ (จากข้อมูลของมิสเทริโอ) จนทำให้คนทั้งโลกรู้กันไปทั่วว่าสไปเดอร์แมนคือปีเตอร์ ปาร์คเกอร์
และในภาคนี้ แน่นอนว่า ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ เพื่อนบ้านที่แสนดี ถูกภัยเฟกนิวส์ตราหน้าจนทำให้ใช้ชีวิตยากลำบากกว่าเดิม แถมพาให้คนรอบข้างทั้งคนรักอย่าง ‘เอ็มเจ’ (Zendaya) เพื่อนซี้สาย Geek อย่าง ‘เน็ด ลีดส์’ (Jacob Batalon) และ ‘ป้าเมย์’ (Marisa Tomei) ต่างพากันเดือดร้อนกันไปด้วย ปีเตอร์เลยจำต้องไปขอความช่วยเหลือกับหมอแปลก ‘ดอกเตอร์สเตรนจ์’ (Benedict Cumberbatch) เพื่อให้ช่วยร่ายมนต์ลบความทรงจำของผู้คนว่าปีเตอร์ ปาร์คเกอร์คือสไปเดอร์-แมน แต่ด้วยความผิดพลาดบางอย่าง ผลก็คือทำให้วายร้ายจากมัลติเวิร์สหลุดเข้ามาปั่นป่วนโลกของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับจักรวาล
ในแง่ของการดำเนินเรื่อง รีวิวหนังnetflix Spider-Man : No Way Home
ในภาคนี้ก็ยังคงมีรสชาติ กลิ่นอาย และธีมของหนังจากภาคก่อน ๆ อยู่นะครับ โดยเฉพาะองก์แรก ซึ่งผู้กำกับอย่าง ‘จอน วัตต์ส’ (Jon Watts) ที่รับเหมากำกับแฟรนไชส์หนังชุดนี้มาจนกลายเป็นไตรภาคแล้ว ก็ยังคงคุมสีสันความเป็นหนังวัยรุ่นที่แฝงเรื่องราวแบบฉบับของวัยว้าวุ่น สิบห้าหยก ๆ สิบหกหย่อน ๆ มุกฮา ๆ วีรกรรมห่าม ๆ และหนังสไตล์ Coming Of Age ซึ่งพอมาถึงภาคนี้ ต้องชื่นชมวิธีการเล่าเรื่องเป็นอย่างแรกเลยครับ เพราะว่าตัวหนังสามารถไต่ระดับการเล่าจากเล็กไปหาใหญ่ และใหญ่ระดับจักรวาลได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนมาก นั่นอาจจะทำให้การเดินเรื่องในองก์แรกช้าอยู่บ้าง โดยมีฉากแอ็กชันคอยกระตุ้นกราฟอยู่เนือง ๆ แต่ตัวบทก็ถือว่าทำได้ฉลาดและไหลลื่นไม่สะดุดตรงไหนให้กวนใจเลย
สิ่งนึงที่เราชอบมากๆ ในภาคนี้คือการที่ได้เห็นปีเตอร์เติบโตขึ้นแบบมากๆ หลังจากที่ภาคก่อนๆ ยังเป็นเด็กน้อยสไปเดอร์แมนที่ไม่รู้ประสีประสา สร้างความวุ่นวายทั่วไปหมด (จริงๆ ภาคนี้ก็เช่นกัน55555) แต่ภาคนี้เค้าเรียนรู้ เติบโต และกล้าหาญ พร้อมที่จะเสียสละในฐานะซุปเปอร์ฮีโร่ คือเรามองเห็นเขาพร้อมที่จะก้าวเข้ามายืนเคียงข้างรุ่นพี่ในฐานะทีมคนนึงได้แล้ว ไม่ใช่เด็กดันของโทนี่อีกต่อไป
ในภาคนี้เราได้เห็นการส่งอารมณ์ที่รุนแรงของทอม ฮอลแลนด์ และก็ต้องยอมรับว่าโมเม้นการส่งอารมณ์ของเขาดีมากๆ จริงๆ สายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า ความโกรธ ความเข้าใจของเขามันชัดเจนและมีพลัง เห็นได้ชัดเลยว่านี่ไม่ใช่สไปดี้คนเดิมแล้ว มันดีมากจริงๆ (แต่คงไม่ไปถึงออสการ์แบบที่น้องทอมโม้ไว้ ฮ่าาาา)

เรื่องของพล็อตเราว่ามันอาจจะยังเล่นได้ไม่มากพอ
ทุกอย่างเหมือนรีบเข้ามาแล้วก็ต่อไปมากไปนิดหน่อย เลยทำให้อารมณ์และแก่นของพล็อตอาจจะยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ รวมถึงซีนแอคชันที่ไม่ได้สนุกตื่นเต้นมากขนาดนั้น เลยทำให้ส่วนนี้ค่อนข้างจางไปนิดนึงสำหรับเรา (เราคิดว่าซีนแอคชันต่างๆ มันจะไปเยอะกว่านี้มากๆ พอสู้เสร็จมันเลยมีคำว่า ‘แค่นี้เหรอ’ แอบแว้บเข้ามาในหัวนิดหน่อย)
ความเป็นมัลติเวิร์สจากทีเซอร์ไม่ได้เล่นอะไรโดดเด่นมากในภาคนี้ เหมือนเป็นอารัมภบทที่ยกให้สไปดี้ก่อนจะเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักในหมอแปลก 2 ซะมากกว่า ซึ่งเรารู้สึกว่ามันน่าสนใจมากๆ ที่เอาสไปเดอร์แมนมาเป็นตัวเปิดให้หมอแปลก เพราะความเป็นสไปเดอร์แมนเนี่ยมันเล่นกับมัลติเวิร์สได้ดีมากๆ ฉลาดมากๆ ที่เล่นแบบนี้ ได้ทั้งใจคน ได้ทั้งต่อเนื้อเรื่อง
ก่อนอื่นใดคงจะต้องปรบมือชื่นชมคนที่หลบหลีกสปอยล์หนังเรื่องนี้ได้อยู่หมัด รอไปพิสูจน์กับตาตัวเองในโรงหนัง พวกคุณเก่งมากจริงๆ เพราะว่า Spider-Man: No Way Home แทบจะเป็นหนังมาร์เวลที่ไม่สามารถนำไปร้อยเรียงเล่าให้คนอื่นฟังได้แบบไม่ติดสปอยล์เนื้อหาไปด้วยไม่ได้เลย เพียงแค่เริ่มต้นฉายเพียงไม่กี่นาทีก็สาดอีสเตอร์เอ้กเข้ามาแบบไม่ยั้ง มีอะไรให้เซอร์ไพรส์ผู้ชมอยู่ตลอดระยะกว่า 2 ชั่วโมงเศษของหนังจริงๆ
แน่นอนว่าก็เป็นการเขียนรีวิวหนังที่ค่อนข้างยากเป็นพิเศษ เพราะต้องคอยหลบเลี่ยงไม่ให้หลุดสปอยล์หนังออกไปอย่างเด็ดขาด ดังนั้นหากว่าใครจะแอบมาเสาะหาสปอยล์เนื้อหาในบทความนี้…ก็ไม่น่าจะมีให้เห็น แต่ก็นับว่า Spider-Man: No Way Home ค่อนข้างกล้าที่จะหยิบโยงและร้อยเรียงโครงเรื่องออกมาในรูปแบบนี้ และในเมื่อหยิบเส้นเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อโครงการของจักรวาลมาร์เวลต่อไป เป็นสิ่งที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง
ก็มองว่ายังไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยมดีสุด แต่เนื่องด้วยแก่นสารและหัวใจหลักของเรื่องค่อนข้างหนักแน่นเป็นอย่างดี จึงทำให้ส่วนประกอบตรงนั้นมาช่วยอุดรอยรั่วต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดรายทางของหนังได้ค่อนข้างใช้ได้ บางครั้งก็ยังแอบคิดไปด้วยว่าหนังค่อนข้างเยิ่นเย้ออยู่บ้าง บางจุดยังสามารถทำให้กระชับได้ยิ่งขึ้นกว่านี้
ในขณะที่งานสร้างผ่านวิสัยทัศน์ของผู้กำกับ “จอน วัตต์ส” ก็ค่อนข้างน่าพอใจ
เขารู้จักวิธีและจังหวะในการเล่าเรื่องของแฟรนไชส์นี้เป็นอย่างดี แม้ว่าในภาคนี้จะมีการชูประเด็นดราม่าขึ้นมาโดดเด่นกว่าภาคก่อนที่ผ่านมา แต่ในองค์ประกอบทั้งแอคชั่น, ตลก และดราม่า ก็นำมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว และมอบรสชาติที่ค่อนข้างกลมกล่อมให้กับผู้ชม ผ่านการออกแบบมุมภาพและมุมกล้อง รวมทั้งส่วนต่างๆ ที่น่าประทับใจในระดับหนึ่ง
ส่วนนี้ก็ทำได้ดีตามมาตรฐาน Marvel แต่ว่าในภาคนี้ Tom Holland (รับบท Spider-Man) ได้แสดงฝีมือในฉากดราม่าด้วย ซึ่งเขาทำได้ดีเลยทีเดียว แต่ผมก็ไม่ได้ตกใจอะไรมากนะ เพราะก่อนมาเล่นหนังฮีโร่ เขาเคยแสดงในหนังดราม่ามาหลายเรื่องแล้ว และเรื่องนี้เขาก็ทำได้ดีและโดดเด่นพอตัวเลย แถมบทก็ยังส่งเขาอีก มันเลยออกมายอดเยี่ยม ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ แสดงได้ดีทุกคน วายร้ายจากภาคเก่าๆ ทุกคนคือสมบทบาทเหมือนเดิม แต่คนที่ดูจะโดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้น Willem Dafoe (รับบท Green Goblin) บอกเลยว่าป๋าแกแสดงดีมากๆ ดีงามเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ฉากสู้กันในอพาร์ตเมนต์เป็นฉากที่ผมชอบที่สุดของเรื่องแล้ว แกแสดงได้ดูน่ากลัวจริงๆ เรียกได้ว่าแสดงดีจนทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัยทุกครั้งที่แกออกมา ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ โดยรวแล้วในส่วนของการแสดงผมไม่มีอะไรจะติเลย
สุดท้ายด้านงานภาพและการโปรดักชั่น รีวิวหนังnetflix Spider-Man : No Way Home
ในส่วนของงานภาพ สำหรับผมถือว่าปกติทั่วไปตามมาตรฐานของ Marvel เลย มาตรฐานเดียวกับ Spider-Man ภาคก่อนๆ ซึ่งตามมาตรฐานของ Marvel นี่ถือว่าดีมากๆ งานภาพสวยงาม ซีจีก็ทำดี โทนสีภาพที่ใช้ก็ทำออกมาได้ดี ที่ขอชมเลยคือการถ่ายทำฉากแอ็คชั่น ดีมากจริงๆ สนุกมาก ส่วนด้านโปรดักชั่น อันนี้คือจัดเต็มมากๆ ดีงามไปหมด ทั้งการออกแบบตัวละคร ฉากแอ็คชั่นก็จัดเต็ม เสื้อผ้าหน้าผมก็ทำออกมาได้ดี เรียกได้ว่าจัดเต็มมากกว่าภาคก่อนๆ หลายเท่าเลย มันไม่เหมือนหนังเดี่ยว แต่มันยิ่งใหญ่จนให้ความรู้สึกเหมือน Avengers: Infinity War (2018) เลย คือยิ่งใหญ่จริงๆ ตัวละครเยอะมาก และเป็นตัวละครในความทรงจำทั้งนั้น แค่เข้าไปนั่งดูตัวละครเหล่านี้อยู่ในหนังก็มีความสุขแล้ว สรุปเลยคือเป็นหนังแฟนเซอร์วิสที่สนุก ไม่ได้เน้นให้แฟนๆ ฟินอย่างเดียว แต่ยังมีความสนุก ครบรส มันคือที่กำลังพอดี ไม่มากจนเกินไป และไม่น้อยจนเกินไป แม้ว่าจะมีเรื่องบทที่ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ภาพรวมคือโอเคมากๆ อย่าเชื่อผม ไปลองดูกันเอง