รีวิวหนังnetflix Peninsula
เชื้อไวรัสซอมบี้ที่แพร่ระบาดจากเมืองปูซานออกไปจนกลายเป็นมหันตหายนะทั่วคาบสมุทรเกาหลี ที่ที่ทั้งโลกยังต้องขอตัดขาดหันหลังให้ แต่เขาคนนั้นผู้รอดชีวิตไปแล้ว ดูหนังออนไลน์ ยังคิดหวนกลับมายังดินแดนนรกรกร้างแห่งนี้อีกครั้งเพื่อบางสิ่ง เมื่อเชื้อไวรัส ‘ซอมบี้’ มิได้สิ้นสุดที่รถไฟ KTX หรือเมืองปูซานเท่านั้น ดูหนังฟรี แต่มันแพร่ระบาดจนเกินการควบคุมได้ ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
จนทำให้ทั้งผืนคาบสมุทรเกาหลีเต็มไปด้วยซอมบี้โหยเลือด รีวิวหนังnetflix Peninsula
ซ่อนตัวตามมุมหลืบทุกซอกทุกเมือง ออกล่าเหยื่อทั้งกลางวันกลางคืน เพียงว่ากลางคืนพวกมันมองไม่เห็น ต้องอาศัยเสียงหรือแสงไฟ จะล่อให้กรูกันรุมขย้ำเป้าหมายอย่างบ้าคลั่ง ผู้คนที่ยังเหลือรอด ก็พากันลี้ภัยไปประเทศเพื่อนบ้าน ทิ้งให้เกาหลีกลายสภาพเป็นดินแดนดิสโทเปียมาถึง 4 ปี
ใส่ปมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เข้ามาหลายจุด ทำให้มีความดราม่ามากตามรอยต้นฉบับ Train To Busan ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในอดีตที่จองซอกเคยขับรถผ่านมินจองและครอบครัวที่ขอความช่วยเหลือให้พาลูกของเขาหนีจากซอมบี้ โดยที่จองซอกปฏิเสธที่จะช่วยเหลือครอบครัวนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าภายหลัง จุนอี ลูกของมินจองได้ช่วยเหลือเขาไว้ตอนที่เขาเกือบจะไม่รอด ทำให้จองซอกรู้สึกติดค้างหนี้บุญคุณครอบครัวนี้
มีเรื่องราวของความหวัง เช่นการที่ตาของจุนอีพยายามวิทยุติดต่อกับคนนอกให้เข้ามาช่วย โดยที่ทุกคนต่างรู้ว่าเขาเพียงเพี้ยนไป เพราะเกาหลีถูกมนุษยชาติหรือแม้กระทั่งพระเจ้าทอดทิ้งแล้ว มีเรื่องของสายสัมพันธ์ระหว่างเขาและพี่เขย ซึ่งแม้ภายหลังจะพูดกันดีๆไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นห่วงกันอยู่ห่างๆ หรือความรักระหว่างแม่กับลูกที่เป็นจุดขยี้อารมณ์ในตอนท้ายของหนัง Train to Busan: Peninsula ซึ่งอาจเรียกน้ำตาจากหลายคนได้ทีเดียว
ให้จำกัดความ Peninsula ของฮยอนซังโฮก็คงต้องบอกว่ามันคือหนัง Mad Max
ที่พยายามจะขายความดิบเถื่อนและความเสื่อมทรามของมนุษย์ แถมยังยืดอกรับเต็มปากว่าฉากแอ็กชันท้ายเรื่องตัวเองก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก Mad Max Fury Road เต็ม ๆ ส่งผลให้ซอมบี้กลายเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งที่พูดถึงความเสื่อมโทรมเน่าเฟะของมนุษย์และเป็นตัวเปรียบเทียบความน่ากลัวที่ทำให้เห็นว่ามนุษย์และการพยายามเอาตัวรอดก่อให้เกิดความน่ากลัวต่าง ๆ มากมายโดยเฉพาะกีฬามนุษย์หนีซอมบี้ที่กลายเป็นความบันเทิงอำมหิตให้กับบรรดามาเฟียที่ตั้งตนเป็นใหญ่ในดินแดนเสื่อมโทรม
แต่กระนั้นการพลิกแนวของฮยอนซังโฮกลับกลายเป็นดาบ 2 คมอย่างช่วยไม่ได้ เพราะในเมื่อหนังโปรโมตตัวเองให้อยู่ในตระกูลหนังซอมบี้และวางตัวเองเป็นภาคต่อ Train to Busan ดังนั้นตัวหนังเลยออกมาผิดความคาดหวังของคนดูแน่นอน งานนี้นอกจากตัวซอมบี้จะไม่ได้น่ากลัวหรือสร้างความตื่นเต้นและมีบทบาทสำคัญเหมือนหนังภาคแรกแล้ว การเป็นหนังภาคต่อก็ไม่ได้ต่อยอดประเด็นหรือชะตากรรมตัวละครที่คนดูให้ใจไปกับหนังภาคแรกอีกด้วย
นอกจากจองซอกจะต้องรับมือกับฝูงซอมบี้คลั่งแล้ว ยังต้องเจอกับกลุ่มทหารกองกำลังเถื่อนที่ใช้ชื่อว่า หน่วย 631 ซึ่งยังปักหลักใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เพราะหนีไปไหนไม่ได้ โดยใช้ห้างสรรพสินค้าร้างเป็นค่ายพักอาศัย มีอาวุธพร้อมป้องกันต่อสู้กับซอมบี้ มีอาหารที่ไปกว้านล่ามาเก็บตุนไว้จัดสรรในค่ายปกครองแห่งนี้ มีผู้นำคือ หัวหน้าซอ (รับบทโดย คูคโยฮวาน) ซึ่งมีมือเอซ จ่าฮวัง (รับบทโดย คิมมินแจ) เป็นนักรบ นำทีมออกภาคสนามล่าเสบียงข้าวของ การที่คนเหล่านี้ยังอยู่รอดมาได้ 4 ปี แสดงว่ามีความโหดเถื่อนมากพอในการรับมือกับซอมบี้ได้ ความคลั่งวิปริตของพวกนี้ จึงกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ขวางการทำภารกิจของจองซอกไปด้วย
ในขณะที่ จองซอก ก็ได้คนช่วยชีวิตเขาไว้ในช่วงคับขัน คือ จุนอี (รับบทโดย อีเร) เด็กสาววัยพรีทีนแก่นกล้า เซียนซิ่งและดริฟท์รถ ที่อาศัยอยู่กับแม่คือ มินจอง (รับบทโดย อีจองฮยอน) และ ยูจิน (รับบทโดย อีเยวอน) น้องเล็ก ผู้เชี่ยวชาญเรื่องรถเช่นกัน แต่เป็นรถคันจิ๋ว รถวิทยุบังคับ ครอบครัวของเธอตกค้างหนีไม่ทัน จึงต้องปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ โดยมีสมาชิกอีกคนคือ คุณคิม (รับบทโดย ควอนแฮฮโย) เป็นชายสูงวัยสมองเลอะเลือนที่พยายามวิทยุสื่อสารติดต่อโลกภายนอกหาคนมาช่วย แต่ก็ยังไม่ได้ผลสักที ผู้รอดกลุ่มนี้ ผู้หญิง-เด็ก-คนแก่ ผิวเผินอาจดูอ่อนแอ แต่อาศัยความฉลาดและสกิลเฉพาะด้านให้อยู่รอดได้ พวกเขาจะกลายมาเป็นทีมช่วยเหลือจองซอก เพื่อเป้าหมายการหนีออกจากอเวจีนี้ไปด้วยกัน ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่ อุปสรรคสาหัสอย่างไร ก็ต้องตามไปลุ้นกัน
แม้ตัวหนังจะมีประเด็นน่าสนใจไม่น้อยโดยเฉพาะการเอาเกาหลีมาเปรียบกับจีนในฐานะประเทศต้นทางของเชื้อโรคร้าย
ในโลกของหนังเทียบกับความเป็นจริง อีกทั้งยังมีฉากที่แสดงให้เห็นว่าคนเกาหลีก็ถูกรังเกียจและไม่มีใครรับเป็นผู้ลี้ภัยประหนึ่งจะโยงมายังวิกฤติ COVID-19 ให้ได้ แต่ประเด็นนี้ก็ถูกพูดถึงแบบผ่าน ๆ จนไม่เหลือความสำคัญต่อเรื่องเท่าใดนัก
แต่บาดแผลสำคัญที่เหวอะหวะยิ่งกว่าหนังหน้าของผีดิบก็คงหนีไม่พ้นการดีไซน์ตัวละครนี่แหละครับ โดยเฉพาะตัว จองซอก ของพระเอกหน้าหล่ออย่าง คังดงวอน ที่ไม่ได้สร้างความผูกพันเหมือนคุณพ่อ กงยู จากหนังภาคแรกได้แม้แต่น้อย ด้วยการที่หนังเล่นนำเสนอภาพความอ่อนแอปวกเปียกในการช่วยเหลือพี่สาวและอาการเหม่อลอยแบบไม่มีที่มาที่ไป แถมยังพยายามขยี้ไอ้อาการบาปที่ติดตัวนี้อีก ทั้งที่คนดูก็ไม่ได้รู้สึกว่า อีตัวพี่สาวมันน่าช่วยเหลือตรงไหนเลยจนทำให้ประเด็นดราม่ามันน่ารำคาญมากไปหน่อย
จุดที่น่ากลัวที่สุดในหนัง Train to Busan: Peninsula ไม่ใช่ซอมบี้ แต่เป็นมนุษย์ด้วยกันเอง โดยหนังได้ใส่กองกำลังที่ 631 ซึ่งเป็นหน่วยรบเถื่อนเข้ามาในเรื่อง ทำให้เห็นความโหดร้ายของสิ่งที่มนุษย์ทำต่อกันได้ หน่วยรบนี้บัญชาการโดยหัวหน้าซอ ผู้เห็นแก่ตัว และมีนักรบคนสำคัญคือจ่าฮวัง ผู้โหดเหี้ยมและสะใจกับการใช้มนุษย์เป็นของเล่น มีการสร้างเกม “เล่นซ่อนแอบ”
ซึ่งใช้เชลยที่ถูกจับเป็นเหยื่อล่อซอมบี้และให้ทุกคนวิ่งหนีเอาตัวรอด
การพ่นสีสเปรย์ลงบนร่างของเชลยเป็นเสมือนการลดทอนความเป็นมนุษย์ ทำให้มีสภาพไม่ต่างจากสิ่งของ หรือเป็นทาส โดยลบชื่อเสียงเรียงนามออกไปทั้งหมดและให้คนจำได้เพียงตัวเลข และเชลยทุกคนก็หมดหวังที่จะใช้ชีวิตต่อไปเพราะพวกเขารู้ว่าไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะต้องตายอยู่ดี ดั่งที่ในหนัง Train to Busan: Peninsula ได้บอกไว้
ในพล็อตของกองกำลัง 631 นี้ หนัง Train to Busan: Peninsula สร้างความตึงเครียดได้ค่อนข้างดี โดยมีฉากอารมณ์อยู่จำนวนหนึ่งที่ทำให้คนดูลุ้นตามว่าคนในหน่วยจะจับโกหกหัวหน้าซอ ผู้มีแผนหลบหนีไปจากเกาหลีได้หรือไม่ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฉากที่ทำให้คนดูเหงื่อตกและรู้สึกเสียวสันหลังเลยทีเดียว หนังเล่าถึงตัวละครโดยแบ่งเป็นคนดีและคนชั่วตามสูตรสำเร็จอย่างชัดเจน โดยวางพล็อตให้คนชั่วไม่ไว้ใจกันเอง ในขณะที่คนดีทำงานกันเป็นทีมและช่วยเหลือกัน
ชื่อว่าคำถามแรกในใจของทุกคน คือ สนุกเท่า Train to Busan ไหม ก็ต้องยอมรับความจริงพื้นฐานก่อนว่า ในยุคที่เราได้ชม Train to Busan กัน มันคือความสดใหม่มาก การออกแบบซอมบี้ที่ได้ลีลาตื่นตาเร้าใจ ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ปังแน่นอน แต่เมื่อเป็นภาคสอง บนพลอตซอมบี้เหมือนเดิม การจะขายแค่ซอมบี้เพียวๆเดิมๆก็คงไม่รอด ยิ่งมีหนังละครโหนกระแสซอมบี้ตามกันมาแล้วเป็นพรวน ผู้กำกับยอนซังโฮคงได้คิดรอบมาแล้วล่ะ จึงเพิ่มเติมความแน่นของสาระ ความใหญ่ของสเกล ให้โทนแบบโลกาวินาศกันไปเลย สะท้อนความน่ากลัวที่แท้จริงของโลกนี้ ก็คือมนุษย์ สุดโหดร้าย เห็นแก่ตัว โลภ เหยียดหยัน เอาเปรียบรังแกคนที่คนอ่อนแอกว่า คนมีอำนาจติดอาวุธติดตำแหน่งยศก็ยังคุมเกมคุมคนได้อยู่ เรียกได้ว่าสร้าง ‘ผู้ร้ายใหม่’ ที่เหี้ยมวิปริตซับซ้อนกว่า ‘ตัวร้ายซอมบี้’
นอกจากนี้ ในส่วนของมู้ดโทน งานภาพซาวน์ก็คราฟท์มาอย่างดี อัดความสนุกเร้าใจของฉากแอคชันเข้ามาให้อย่างเยอะ แทบไม่ได้พักกันเลย โดยเฉพาะฉากรถไล่ล่า ซิ่งดริฟท์รถเมามันส์ ได้อารมณ์เกมแข่งรถ GTA (ฮิตมากเมื่อก่อน ไม่รู้ตอนนี้เป็นไง) ซอมบี้ไม่ได้ถูกใช้สร้างความน่ากลัวเป็นรายตัวอีกต่อไป ไม่เน้นฉากโคลสอัพการกัด หรือใบหน้าขยะแขยงจะๆนัก
แต่จะไปเล่นกับความสยดสยองชาวฝูงคลั่งๆ โชว์โหดมวลใหญ่ ความอดอยากที่รุมทึ้งได้ในพริบตา หรือความเป็นเศษเดนที่ถูกกราดทำลายล้างกระจุยกระจาย อารมณ์แบบพวกเกมทำลายล้างกันเลย เรียกว่าเป็นแอคชันทริลเลอร์ซัดกันรัวยาวๆ จนบางช่วงทำผู้เขียนรู้สึกยืดเยื้อไปด้วยซ้ำ
เกาหลีใต้ดูจะไปได้สวยกับการสร้างจักรวาลหนังซอมบี้ของตัวเอง รีวิวหนังnetflix Peninsula
ตั้งแต่ Rampant (2018) กับ Kingdom (2019) ซึ่งเป็นซอมบี้ตั้งแต่ยุคสมัยเกาหลียังคงมี King ทรงเป็นประมุข รวมถึงจักรวาลซอมบี้ยุคทุนนิยมที่เราคุ้นเคยของผู้กำกับฯ Yeon Sang-ho ซึ่งปัจจุบันดำเนินมาแล้ว 3 ภาค ได้แก่ SEOUL STATION, TRAIN TO BUSAN, และล่าสุด PENINSULA ตามลำดับ
ในขณะที่ฝั่งอเมริกายังคงปิดโรงหนังและเลื่อนการฉายหนังน้อยหนังใหญ่ ตั้งแต่ Tenet ของเสด็จพ่อ Nolan, ฺBlack Widow ของ Marvel, Mulan ของ Disney, Wonder Woman 1984 ของ DC ฯลฯ แต่ฝั่งเกาหลีใต้ปล่อย PENINSULA ภาคต่อ TRAIN TO BUSAN ออกมากอบโกยรายได้และกอบกู้วิกฤติ COVID-19 ของโรงภาพยนตร์ทั่วเอเชีย
PENINSULA มียานพาหนะทุกอย่างในเรื่อง ไม่ว่าจะรถยนต์ รถบรรทุก เรือ และเฮลิคอปเตอร์ แต่ไม่มีรถไฟอยู่ในหนังเหมือนสองภาคแรก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่า เหตุการณ์ใน PENINSULA คือเหตุการณ์ 4 ปีหลังจาก Gong Yoo จากไปใน TRAIN TO BUSAN ซึ่งสาธารณรัฐเกาหลีล่มสลายแล้ว ระบบขนส่งมวลชนก็ไม่มีแล้ว
แต่แล้วก็ได้มีนายทุนคนหนึ่ง ที่ได้รู้ข่าวมาว่ามีคนรอดจากเหตุการณ์ซอมบี้ระบาดที่เกาหลีได้มาอาศัยอยู่ใน ฮ่องกง ซึ่งนั่นก็คือ จองซอก และ พี่เขยของเขานั่นเอง นายทุนคนนี้จึงได้ทำการส่งลูกน้องมาขอเจรจาต่อรองกับจองซอกว่า หากทำงานให้เขา จองซอกจะได้ค่าตอบแทนที่สูงมากและสามารถตั้งตัวเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เลยทีเดียว