รีวิวหนังnetflix Mr. Harrigan’s Phone
Craig (รับบทโดย Jaeden Martell) เด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่มีความสนิทสนมกับ Mr. Harrigan (รับบทโดย Donald Sutherland) มหาเศรษฐีผู้สูงอายุที่รักสันโดษ โดยเขาได้จ้างให้ Craig นั้นไปอ่านหนังสือให้ฟังบ่อยๆ จนทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เป็นไปได้ด้วยดีและนอกจากเรื่องหนังสือแล้ว พวกเขาทั้งคู่ก็ยังคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ไอโฟนอีกด้วย จนกระทั่งสุดท้ายชายแก่คนนี้ก็ได้เสียชีวิตไป Craig ก็ยังได้รับข้อความจาก Mr. Harrigan อยู่ผ่านไอโฟนที่เขาแอบเอาฝังไว้ในหลุมศพ ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
รีวิวหนังnetflix Mr. Harrigan’s Phone คือหนึ่งในเรื่องสั้นจากหนังสือรวมเรื่องสั้นชื่อ ‘if it Bleeds’ ของ สตีเฟน คิง (Stephen King) ที่ตีพิมพ์ในปี 2020
ที่มีจุดเด่นในด้านของการวิพากษ์เทคโนโลยีและคุณค่าของวรรณกรรม ฉาบด้วยพล็อตไฮคอนเซ็ปต์อย่าง จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมือถือของคนตายสามารถพิพากษาชีวิตของคนชั่วได้เพียงแค่โทรไปฝากคำขอมรณะไว้เท่านั้นเอง ดูหนังออนไลน์
Mr. Harrigan’s Phone โทรศัพท์คนตาย เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้ชมได้รู้ว่าบางครั้งหนังสยองขวัญก็ไม่จำเป็นต้องมีฉาก Jump Scare เสมอไป เพียงแค่ใส่บรรยากาศ กับปล่อยให้เนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ ก็เรียกความหลอนจากผู้ชมได้ไม่แพ้กัน ดูหนังฟรี
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Mr. Harrigan’s Phone ก็ได้ผู้กำกับมือฉมังอย่าง “จอห์น ลี แฮนค็อก” (John Lee Hancock) ที่เคยกำกับหนังดังมาแล้วอย่าง The Blind Side (2009), Saving Mr. Banks (2013), The Founder (2016) และ The Highwaymen (2019) มาเป็นผู้กำกับในครั้งนี้ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นขึ้นแท่นกำกับหนังสยองขวัญครั้งแรกของเขาเลยก็ว่าได้
อย่างที่บอกว่าตัวหนังมันเล่าแบบค่อนข้างนิ่งเลยทีเดียว มีช่วงให้ลุ้นให้ตื่นเต้นบ้างแต่ก็ไม่ได้บิ้วอารมณ์ไปจนสุดถึงขั้นกลัวหรือขนลุกอะไรอย่างนั้น ซึ่งก็ชวนให้อยากดูได้เรื่อยๆ ส่วนวิธีการเล่าก็ไม่ได้มีอะไรใหม่เท่าไหร่นัก แต่ที่น่าสนใจคือด้วยความที่เนื้อเรื่องเป็นการเล่าแบบย้อนยุค ทว่ากลับมีเนื้อหาที่ร่วมสมัยมาก ว่าด้วยเรื่องของสังคมโซเชียลมีเดีย ข่าวสารต่างๆ ในโลกปัจจุบันหรือวิถีชีวิตที่พวกเราทุกคนต่างกำลังเผชิญอยู่หรืออาจจะบอกก็ได้ว่าเรากำลังเสพติดมันอยู่
ซึ่งในพาร์ทที่ทำได้ดีคือการลำดับเรื่องราวในความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่น่าสนใจและลึกซึ้งดี
โดยรวมคือหนังมันไม่ได้ไปสุดในแง่ของสยองขวัญ ดราม่าหรือเรื่องราวการเติบโตแบบฉบับวัยรุ่นเลย แต่มันอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างเรื่องราวทั้งหมด แม้ว่าอาจจะไม่ถูกใจบ้างแต่ก็ต้องยอมรับว่าสามารถเล่าและนำเสนออกมาได้อย่างลงตัวมากเลยทีเดียว มันเป็นหนังแบบกลางๆ ที่ไม่หวือหวาและสามารถเปิดพื้นที่ให้ผู้ชมสามารถคิดตามและจินตนาการไปกับเรื่องราวเนื้อหาที่ตัวหนังมันพยายามส่งมาได้
เล่าเรื่องราวของ เคร็ก เด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งได้มาผูกมิตรกับ คุณฮาร์ริแกน มหาเศรษฐีสูงวัยผู้รักสันโดษ ทั้งคู่เริ่มรู้สึกผูกพันกันโดยไม่คาดคิดเพราะต่างก็รักหนังสือและการอ่านเหมือนกัน แต่เมื่อคุณฮาร์ริแกนเสียชีวิตลง เคร็กก็ได้ค้นพบว่าบางอย่างกลับไม่ได้เลือนหายหรือตายตามไปด้วย เขาต้องแปลกใจที่ยังติดต่อกับเพื่อนต่างวัยคนนี้ได้ผ่านโทรศัพท์ไอโฟนที่ฝังไปพร้อมศพของเขา เรื่องราวแนวก้าวพ้นวัยเหนือธรรมชาตินี้จะเผยให้เห็นว่าสายสัมพันธ์บางอย่างยังโยงใยถึงกันอยู่เสมอ
นี่คือผลงานล่าสุดของผู้กำกับที่มักจะได้ดีกับงานแนวดราม่าเสมอ ๆ อย่าง “จอห์น ลี แฮนค็อก” ที่ดูเหมือนว่าครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาหันมาหยิบจับหนังดราม่าสยองขวัญดูบ้าง และเขาก็ได้หยิบเอาเรื่องสั้นของเจ้าพ่อนิยายสยอง สตีเฟ่น คิง มาละเลงและเขียนบทหนังเรื่องนี้ขึ้นมา โดยเป็นการหยิบโยงความสยองเข้ากับเทคโนโลยียุคแรก ๆ ได้อย่างน่าสนใจ
โดยเนื้อเรื่องของ ‘Mr. Harrigan’s Phone’ อยู่ที่ เคร็ก (รับบทโดย เจเดน มาร์เทลล์ Jaeden Martell) เด็กหนุ่มขี้เหงาที่รับจ๊อบอ่านหนังสือให้ คุณแฮริแกน (รับบทโดย โดนัลด์ ซูเธอร์แลนด์ Donald Sutherland) นักธุรกิจชราที่มักจะส่งล็อตเตอรี่เป็นของขวัญให้เคร็กจนกระทั่งเขาถูกรางวัลถึง 3,000 เหรียญจึงซื้อ iPhone ให้เป็นการตอบแทน แต่หลังจากนั้นไม่นานคุณแฮริแกนก็เสียชีวิต เคร็กจึงแอบใส่ iPhone ไว้ในโลงศพ
และวันดีคืนดีหลังจากเคร็กฝากข้อความเสียงในมือถือของผู้ล่วงลับถึงคนที่มารังแกเขา รุ่งขึ้นเด็กอันธพาลคนนั้นก็กลายเป็นศพจากการฆ่าตัวตาย เคร็กต้องสืบให้ได้ว่ามีอำนาจเหนือธรรมชาติจากโทรศัพท์คนตายที่สามารถพิพากษาคนชั่วได้เพียงแค่โทรไปฝากข้อความจริงหรือไม่
จากการเสียชีวิตของคุณแฮร์ริแกนในครั้งนี้ ทำให้ชีวิตเคร็กมัวหมองมากขึ้น
เขาไม่อาจอดทนต่อความรู้สึกสูญเสียได้อีกต่อไป เคร็กจึงส่งข้อความไปยังโทรศัพท์ไอโหนของคุณแฮร์ริแกน โดยไม่กี่อึดใจก็มีข้อความส่งกลับมา กลายเป็นว่าตอนนี้เคร็กสามารถติดต่อกับคุณแฮร์ริแกนที่ตายไปแล้วผ่านโทรศัพท์มือถือได้ หลังจากนั้นก็เกิดเหตุประหลาดขึ้นอีกหลาย เป็นปริศนาให้เคร็กได้แก้ไขกันต่อไปว่าสรุปแล้ว ทำไมถึงมีสายโทรเข้าจากคนตายต่อตรงมาถึงโทรศัพท์ของเขาได้
ด้านงานภาพก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม คุมโทนสีออกมาเก่งมาก สามารถคุมบรรยากาศให้ออกมาได้ชวนหลอนๆ แบบนิ่งเงียบดี การหาโลเคชันก็สมบูรณ์แบบ องค์ประกอบทุกอย่างทำออกมาได้ดีมาก ชอบที่ใส่ดีเทลของหนังสือที่อ่านทุกเล่มและที่สำคัญคือเสียงประกอบเรื่องนี้ยอดเยี่ยมมาก ตัวเสียงประกอบที่ใช้มาเปิดเป็นเสียงหลักมันมีความลึกลับ ชวนให้ขนลุกนิดๆ สนุกสนานหน่อยๆ แต่ก็น่าหลงใหลและน่าค้นหามาก ซึ่งคือกลิ่นอายแบบ Stephen King เลย มันบิ้วอารมณ์ของผู้ชมได้ดีและอีกอย่างที่น่าชื่นชมคือเสียงพากย์ของน้อง Jaeden Martell ที่เข้ากับโทนของเรื่องมาก ส่วนเพลงที่เลือกใช้มาประกอบเพลงอื่นๆ ก็เหมาะกับเนื้อเรื่องดี
สำหรับการแสดงของตัวละครหลัก น่าชื่นชมทั้งคู่ เคมีความเข้ากันดีมาก สีหน้า ท่าทาง แววตาและน้ำเสียงส่งอารมณ์ได้หมด อย่าง Jaeden Martell คือแสดงดีมาตลอดอยู่แล้วจากที่เห็นในผลงานที่ผ่านมา น้องยังคงมีกลิ่นอายอะไรบางอย่างที่เข้ากับหนังสยองขวัญแบบฉบับวัยรุ่นมาก (โดยเฉพาะของ Stephen King) และแน่นอนว่าน้องก็เข้ากับเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีด้วยเช่นเดียวกัน
บทหนังและการเล่าเรื่องของ Mr. Harrigan’s Phone ยังไม่ค่อยสัมผัสเข้าถึงใจผู้ชมได้สักเท่าไหร่ รีวิวหนังnetflix Mr. Harrigan’s Phone
ด้วยความช้าในการเล่าเรื่องไปสักหน่อย หนังใช้เวลาผ่านไปเกือบครึ่งเรื่องกว่าจะค่อย ๆ เข้าสู่เรื่องราว แต่เมื่อเข้าสู่โครงเรื่องและเส้นเรื่องหลักแล้ว หนังก็ยังไม่สามารถขับเสน่ห์ออกมาได้ดีเท่าที่ควรอยู่ดี เพราะเหมือนหนังยังสับสนว่าจะไปในทิศทางและโทนที่จะเป็นหนังสยองหรือหนังวัยรุ่น แม้ว่าจะยังคงบรรยากาศความหลอนไว้อยู่ตลอดเวลา แต่ยังไร้ซึ่งความน่ากลัว
กลับกลายเป็นว่า เจเดน มาร์เทลล์ ยังค่อนข้างติดภาพคาแรกเตอร์เด็กนักเรียนแบบเดิม ๆ ที่ภาพจำเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่เขากำลังพยายามจะสลัดคราบให้ออก แต่ดูเหมือนว่าจะติดแน่นหนากับตัวเขาไม่น้อย แม้จะพยายามไต่ระดับการเติบโตในคาแรกเตอร์มากแค่ไหนแล้วก็ตาม ก็พบว่าภาพของเขาก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นคนนั้นอยู่
โดยเรื่องย่อและเทรลเลอร์ที่ถูกปล่อยออกมา หลายคนคงคาดหวังว่ามันจะต้องเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์สุดระทึกตามสไตล์ถนัดของ สตีเฟน คิง แต่เปล่าเลยเพราะหนังทั้งเรื่องที่ จอห์น ลี แฮนค็อก (John Lee Hancock) คือหนังที่ว่าด้วยการตามหาที่ยึดเหนี่ยวของเด็กมัธยมที่สูญเสียแม่ของเขาไปอย่างเคร็กและได้คุณแฮริแกนเศรษฐีชราที่อาศัยให้เขาอ่านวรรณกรรมสุดคลาสสิกทั้ง ‘ ‘Lady Chatterlay’s Lover’ ‘Dombey and Son’ ‘Heart of Darkness’ ‘They Shoot Horses, Don’t They?’ ที่มาเกี่ยวพันกับชีวิตของเคร็กและคุณแฮริแกนทีละนิด ๆ โดยเฉพาะในวรรณกรรมเรื่องหลังสุดที่แทบจะเป็นการบอกใบ้ถึงชะตากรรมของมิสเตอร์แฮริแกนอยู่กลาย ๆ
และอีกประเด็นหนึ่งที่หนังใช้เป็นกลไกในการเล่าเรื่องอย่าง iPhone ก็จะตามมาหลังจากหนังพ้นช่วงองก์แรกที่เคร็กเติบโตและได้เรียนไฮสคูลต่างโรงเรียน และ iPhone ก็กลายเป็นวิธีการสื่อสารที่เขาใช้แทนคำพูดแต่ยิ่งเขาพูดน้อยลงก็เริ่มรู้สึกได้ถึงภาวะไร้อำนาจโดยเฉพาะการต้องมาเจอบูลลี่จากเพื่อนร่วมชั้นนั่นเอง และยังย้ำสารตรงนี้ด้วยคำพูดของคุณแฮริแกนอีกว่า สมาร์ตโฟนก็คือประตูสู่สิ่งเสพติดอื่น ๆ และยังเป็นท่อประปาที่ข้อมูลข่าวสารโดยเฉพาะเฟคนิวส์ที่จะไหลบ่าต่อไปในอนาคต ซึ่งตรงนี้ถือว่าความดีงามของนิยาย สตีเฟน คิง ได้ช่วยหนังมาถึง 50% แล้ว
ด้วยธีมหนังประกอบกับนวนิยายต้นฉบับจากนักเขียนเรื่องสยองขวัญระดับเซียนอย่าง “สตีเฟ่น คิง” ก็ยิ่งทำให้ผู้ชมต่างก็คาดหวัง
กับความหลอนแบบขนพองสยองเกล้ากันอย่างเต็มที่ แต่เมื่อรับชมจบแล้วกลับไม่ได้อะไรอย่างที่หวังแม้แต่นิดเดียว จึงทำให้ Mr. Harrigan’s Phone ถูกวิจารณ์แบบยับเยิน และได้คะแนนไปเพียง 6.1/10 จากเว็บ IMDb ถือว่าเป็นภาพยนตร์สยองขวัญยอดแย่รับฮาโลวีนปี 2022 และอาจกลายเป็นตราบาปติดตัวผู้กำกับอย่าง จอห์น ลี แฮนค็อก ไปตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าใครต้องการทดสอบว่าหนังเรื่องนี้แย่จริงอย่างที่หลายคนรีวิวไหม ก็สามารถรับชมได้แล้ววันนี้ทาง Netflix