รีวิวหนังnetflix Blood Red Sky
รีวิวหนังnetflix Blood Red Sky โดยเรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ นาเดีย (แพรี บอไมสเตอ-Peri Baumeister) กำลังเดินทางจากเยอรมันไปนิวยอร์กเพื่อรักษาอาการกระหายเลือดหลังเธอถูกกัดและแพร่เชื้อแวมไพร์ กระนั้นเที่ยวบินของเธอก็กลายเป็นความโกลาหลเมื่อกลุ่มสลัดอากาศนำโดย เบิร์ก (โดมินิก เพอร์เซลล์-Dominic Purcell) ยึดเครื่องบินและจับผู้โดยสารเป็นตัวประกันหวังเรียกค่าไถ่จากทางการ นาเดียจำต้องปลุกอสูรที่หลับไหลในตัวเองเพื่อช่วยเหลือ เอเลียส (คาร์ล แอนทัน คอช – Carl Anton Koch) ลูกชายของเธอและผู้โดยสารคนอื่นให้ได้ เว็บดูหนัง
หนังสัญชาติเยอรมันที่ถือว่ามีลูกเล่นและคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจ เผลอๆ เพียงพอที่อาจจะขยายสร้างเป็นหนังหลายๆ ภาคเลยก็ได้ นี่ก็คือ “Blood Red Sky” (ฟ้าสีเลือด) หนังสยองขวัญบนเที่ยวบินสุดระทึก ที่แม้ว่าจะมากับสูตรสำเร็จที่ไม่ได้สร้างความตื่นเต้นตื่นใจอะไรสักเท่าไหร่ แต่กลับให้ผลลัพธ์ออกมาได้ค่อนข้างดีกว่าที่คาดเอาไว้พอสมควรเลยนะ
นาเดีย กับ เอลิอัส แม่ลูกที่กำลังตัดสินใจออกเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากว่าเธอป่วยเป็นโรคสุดประหลาดที่ต้องหาวิธีเข้ารับการรักษาและยั้งยับอาการไม่ใช่ลุกลาม แต่ระหว่างที่ทั้งคู่โดยสารอยู่บนเครื่องบินที่เพิ่งทะยานออกจากสนามบินไปได้ไม่นาน ปรากฏว่ามีกลุ่มผู้ก่อการร้ายได้พยายามจี้เครื่องบิน และเตรียมหันหัวเครื่องมุ่งตรงไปที่ใจกลางกรุงลอนดอน เพื่อก่อเหตุวินาศกรรมครั้งใหญ่ เว็บดูหนังฟรี
แต่สถานการณ์บนเครื่องบินไม่ได้เข้าข้างกลุ่มผู้ก่อการร้ายแต่อย่างใด เมื่อพวกเขาได้ก่อเหตุผิดพลาดอย่างมหันต์ ทำให้หญิงที่เต็มด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ได้ตัดสินใจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเธอออกมา เพื่อที่จะปกป้องลูกชายในรอดปลอดภัยจากเหตุการณ์ระทึกเหนือน่านน้ำมหาสมุทรแอตแลนติกเกือบ 4 หมื่นฟุต ที่โอกาสรอดเหลือน้อยนิดตามเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ
เนื้อเรื่องดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไรเป็นเรื่องราวของกลุ่มคนร้ายที่ทำการปล้นเครื่องบินแต่ในความไม่มีอะไร หนังสามารถเพิ่มรายละเอียดปลีกย่อยเข้าไปทำให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วม ในทุก ๆ ซีน อย่างตอนต้นเปิดตัว ด้วยการที่ลูกชายไปเช็กอินขึ้นเครื่องบินคนเดียว ก่อนที่แม่จะตามมา ทำให้เกิดเป็นคำถามว่าทำไมไม่มาด้วยกัน? ทำไมอีเลียสถึงดูเป็นเด็กที่ฉลาดเกินวัย แล้วอาการป่วยของนาเดีย
สรุปแล้วป่วยเป็นโรคอะไร แล้วอะไรเป็นสาเหตุของการป่วย ปมต่าง ๆ เหล่านี้ค่อย ๆ เฉลยออกมาระหว่างดำเนินเรื่องหลักของผู้ก่อการร้ายที่กำลังปล้นเครื่องบิน ช่วงปูเรื่องดูไม่น่าเบื่อ ดูน่าสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ ใช้เวลาปูเรื่องไม่นานประมาณ 20 นาทีแรก จากนั้นความระทึกก็บังเกิดอย่างต่อเนื่อง และตลอดการดำเนินเรื่องมีอะไรให้ลุ้นตลอดเวลาที่ภัยร้ายใกล้จะจบ แต่ไม่ถึงนาที ก็จะเกิดเรื่องที่คิดไม่ถึงมาเปลี่ยนทิศทางของเรื่องเป็นอย่างนี้อยู่หลายรอบ ทำให้ต้องดูต่อเนื่องไม่อยากลุกจากที่นั่ง น่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง
หนังแนวแวมไพร์ที่ห่างหายไปนานหลังกระแสหนังซอมบี้เป็นเทรนด์ฮิตกว่า ซึ่งเรื่องนี้แม้จะออกตัวว่าเป็นแวมไพร์ แต่ก็มีส่วนผสมของซอมบี้เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเห็นได้ชัด โดยใช้สถานการณ์ในที่จำกัดบนเครื่องบินมาบีบคั้นให้เรื่องน่าตื่นเต้นเข้าไปอีก แบบเดียวกับหนังงูบนเครื่องบินอย่าง Snakes on a Plane ซึ่งพล็อตเรื่องที่ว่าด้วยกลุ่มโจรจี้เครื่องบิน แต่ต้องมาเจอกับผู้โดยสารที่เป็นแวมไพร์ ก็เป็นอะไรที่ดูน่าสนใจมาก แต่ปัญหาคือการเล่าเรื่องในที่จำกัดแบบนี้จะสามารถสร้างฉากระทึกได้มากแค่ไหน แถมนี่ยังเป็นหนัง Original Netflix แท้ๆ จากผู้สร้างชาวเยอรมันอีกด้วย ซึ่งก่อนดูก็แอบห่วงอยู่ว่าจะไม่ไหวตามสไตล์หนังเน็ตฟลิกซ์ที่ไอเดียอาจจะดี แต่ทุนต่ำจนทำอะไรมากไม่ได้ แต่หลังได้รับชมต้องบอกเลยว่ากลับทำได้มากกว่า หนังฟรี
สิ่งที่พอจะสังเกตได้ทันทีคือปีเตอร์ ธอร์วอร์ธ (Peter Thorwarth) ผู้กำกับและร่วมเขียนบทน่าจะได้แรงบันดาลใจจากหนังผู้ก่อการร้ายยึดเครื่องบินปี 2005 ทั้ง ‘Flightplan’ และ ‘Red Eye’ ตรงที่หนังใช้ตัวเอกเป็นผู้หญิงและยังกำหนดโทนภาพตามสไตล์หนังสยองขวัญของผู้กำกับยุโรปคือมีความอมเขียวอมฟ้า (Teal Look) ดูลึกลับแอบซ่อนความเป็นอสุรกายเอาไว้แต่นอกนั้นคือการปรุงรสให้จัดจ้านและเอนเทอร์เทนคนดูชนิดเทกระจาดพริกแล้วราดน้ำปลาเลยทีเดียว
การที่หนังพยายามหอบเอาปมนั้นและประเด็นนี้มากองๆ ไว้เต็มไปหมด กลายเป็นความเยิ่นเย้อและขาดความกระชับในตัวหนังอยู่ไม่เบา หนังมีทั้งประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูก ปมภูมิหลังของพฤติกรรมลึกลับ และไหนจะยังใส่การก่อการร้ายเข้ามาอีก ทำให้หนังไม่อาจที่จะนำเสนอและเล่าเรื่องได้อย่างน่าตื่นตาเพียงพอ ทำได้แค่เพียงไล่เรียงเรื่องต่างๆ ไปตามลำดับขึ้นแบบไม่ค่อยมีชั้นเชิงเรียกความน่าสนใจเท่าไหร่
รีวิวหนังnetflix Blood Red Sky
หนังเรื่องนี้เป็นแนว แอ็คชั่นระทึกขวัญ ฉากแอ็คชั่นจัดแน่นจัดเต็มทั้งใช้อาวุธ และต่อสู้มือเปล่าดูแล้วลุ้นทุกฉากว่าใครจะชนะ ที่สนุกที่สุดเป็นการต่อสู้โดยใช้มันสมอง วางแผนในช่วงเวลาสั้น ๆ ว่าจะสู้อย่างไร หนังใส่ใจรายละเอียดทุกเม็ด มีปมเล็กปมน้อยมาให้คิดตลอด ทุกการต่อสู้ไม่ได้ใช้กำลังอย่างเดียว ใส่สมองเข้าไปด้วย ซึ่งมันเป็นอะไรที่บางครั้งเกินคาดคิด ทำให้ผู้ชมประหลาดใจพร้อมกับประทับใจในความฉลาดของหนังไปในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าจะเอาแบบกลัวขนหัวลุก เรื่องนี้ไม่ถึงขั้นนั้นนะ แต่ถ้าชอบหนังออกแนวแอ็คชั่นมัน ๆ ลุ้นระทึกกับการต่อสู้ของฝ่ายดีกับฝ่ายเลว หนังใหม่
เรื่องนี้คือใช่ ลุ้นมันตลอดทุกซีน แต่ก็มีเนื้อเรื่องบางช่วงอาจจะดูไม่สมเหตุสมผลไปบ้าง แต่ไม่ใช่สาระสำคัญเลย เพราะความสนุกอยู่ตรงแอ็คชั่นมัน ๆ และแกนหลักของเรื่องคือการเอาชีวิตรอดจากการจี้เครื่องบินครั้งนี้ จะเห็นทาสแท้ของมนุษย์ที่บางคนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้รอดชีวิต ถึงแม้จะผิดศีลธรรม
เมื่อบทของกลุ่มโจรสร้างมาโหดได้สมจริง ส่วนของแวมไพร์ก็ต้องยิ่งโหดกว่า เพราะนี่เป็นเมนหลักของเรื่องนี้ที่เป็นแนวสยองขวัญเลือดสาด แต่หนังเรื่องนี้เลือกวางตัวเองเป็นแนวกึ่งสยองขวัญผสมดราม่า (แม้จะเลือดสาดมากตลอดเรื่อง) ให้แม่ของเด็กในเรื่องยอมเปิดเผยตัวเองว่าเป็นแวมไพร์ต่อสู้กับโจรเพื่อปกป้องลูก ไม่ใช่ปกป้องชีวิตผู้โดยสารทั้งลำ และก็เลือกวิธีเอาตัวรอดแบบที่ดูเห็นแก่ตัวบ้าง แต่ก็เพื่อให้ลูกรอดเป็นสิ่งสำคัญแรกสุดมากกว่าชีวิตตัวเอง ซึ่งถือว่าบทเขียนมาดีมากในมุมที่สมเหตุผลกับสถานการณ์ตัดสินชีวิตแบบนั้น โดยมีการตัดสลับย้อนกลับไปยังจุดกำเนิดความเป็นแวมไพร์ของเธอในระหว่างที่จัดการพวกโจรด้วยเป็นระยะๆ
เข้ากับเหตุการณ์ในปัจุบันที่เธอกำลังประสบอยู่ด้วย ทำให้มีเรื่องราวเล่านอกเครื่องบินมาช่วยเสริมรายละเอียดให้แน่นขึ้น โดยยังคงรายละเอียดแทบทุกอย่างของแวมไพร์แบบดั้งเดิมไว้หมด และก็ปรับปรุงให้ดูทันสมัยเข้ากับเรื่องราวในหนัง ตั้งแต่ต้นกำเนิดว่าใครทำให้เธอกลายมาเป็นแวมไพร์ วิธีฆ่าแวมไพร์ที่ยังคงเดิมตรงโดนของแหลมปักหัวใจถึงตาย การแพ้แสงอาทิตย์ ที่ใส่เรื่องประยุกต์ใช้ไฟฉายแสงอุลต้าไวโอเลตเข้ามาแทนได้อย่างมีเหตุผล การที่นางเอกเลือกเดินทางกลางคืนยาวนานจากเยอรมันไปอเมริกาเพื่อหลบแสงอาทิตย์ ตัวเรื่องก็เอาจุดนี้มาเป็นไฮไลท์สำคัญเรื่องการบินในโซนเวลาที่มืดเสมอได้ตลอดเรื่องด้วย
คล้ายๆ ซีรีส์ Into the Night ของ Netflix และก็เป็นจุดเปิดเรื่องกับจุดปิดท้ายเรื่องที่แสงอาทิตย์มีความสำคัญกับความเป็นความตายของตัวละครในเรื่องทั้งหมดด้วย ซึ่งทำออกมาได้ลุ้นระทึกมากจนนาทีสุดท้ายของเรื่องเลย แต่แอบเสียดายนิดนึงว่าหนังสามารถทำต่อหรือทิ้งเชื้อไว้ต่อได้อีก แต่กลับเลือกจบสมบูรณ์ในตัวเลยจนน่าเสียดายนิดๆ ดูหนังฟรี
คาร์ล โคด รับบทอีเลียส ลูกชาย ของนาเดีย เป็นเด็กฉลาด มีไหวพริบดี เก่งเกินวัย อีเลียสแสดงสีหน้า ท่าทาง อารมณ์ ได้สมบทบาท ดูแล้วก็ทึ่งจริง ๆ กับความสามารถของหนุ่มน้อยคนนี้ ต้องบอกไว้ก่อนว่า ถึงจะมีนักแสดงเด็ก แต่ไม่ใช่หนังที่เด็กจะดูได้ เพราะหนังเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวดความรุนแรง (Violence) ที่เหมาะสำหรับผู้ชมอายุ 18 ปีขึ้นไปนะ
โดมินิก เพอร์เซลล์ รับบทเป็น เบิร์ก หัวหน้าผู้ก่อการร้าย หลายคนคงรู้จัก โดมินิก เพอร์เซลล์ กันดี เพราะพี่เขาเป็นนักแสดงอเมริกัน เล่นหนังและซีรีส์มาหลายเรื่อง ถ้าใครเคยดู Prison Break คงจำหน้านักโทษแหกคุกคนนี้ได้ จากบทบาทในเรื่องก่อนหน้า และใบหน้าอันโหดเหี้ยม แค่พี่เขายืนเฉย ๆ ก็สมบทบาทแล้วล่ะ
อเล็กซานเดอร์ เชียร์ รับบทเป็น ผู้ก่อการร้าย เอตบอล เป็นคนที่ออกโรคจิตหน่อย ๆ เป็นตัวปัญหาของเรื่อง ทุกฉากที่มีแกดูแล้วจิตจริง ๆ เชื่อว่าเป็นตัวละครหนึ่งที่ทุกคนอยากให้หายไปไว ๆ
ไคส์ เซตที รับบทเป็น ฟาฮิด ผู้ร่วมเดินทางที่มีจิตใจดี คอยช่วยเหลือสองแม่ลูก นาเดีย-อีเลียส ฟาฮิดแสดงได้ดูเป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือจริง ๆ เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นกับตัวเอง ก็ยอมรับสภาพโดยไม่บ่น (ส่วนตัวติดใจตรงนี้นิดหนึ่ง คิดว่าถ้าชีวิตจริงเจอแบบนั้น คงต้องมีโอดครวญกันบ้างหละ แต่อย่างที่บอกมันก็มีบ้าง ที่บางส่วนของเนื้อหาดูไม่สมเหตุสมผล แต่มองข้ามไปเถอะ มันไม่ใช่สาระสำคัญ
ตั้งแต่การเสิร์ฟฉากสยองขวัญโหด ๆ เลือดกระเซ็น ฉากปล้นเครื่องบินสุดระทึก ดรามาแม่ลูกชวนบีบหัวใจไปจนถึงความโหดแบบหนังฆาตกรโรคจิต รวมถึงแอ็กติงที่มีความหลากหลายมากตั้งแต่เล่นน้อยจนเกือบเป็นสากกะเบือของ โดมินิก เพอร์เซล ดรามาเข้มข้นลึกล้ำของแพรี บอไมสเตอ ไปจนถึงเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียร์เตอร์ของ อเลกซานเดอร์ ซเคียร์ (Alexander Scheer) ที่รับบทตัวร้ายโคตรโรคจิตที่ทำให้ผลลัพธ์ของหนังออกมาบันเทิงเกินคาดเลยทีเดียว
แน่นอนว่า Blood Red Sky ได้ใช้สูตรสำเร็จของหนังแนวนี้แบบเดิมๆ แต่ถึงแม้จะไม่แปลกใหม่ หนังก็ทำออกมาได้สนุกอยู่ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะช่วง 30 นาทีสุดท้ายของเรื่องนี้ ถือว่าเป็นความเข้นข้นที่ค่อยๆ ขยายอารมณ์คนดูได้ถึงแก่น แม้ว่าความคลีเซ่จะลอยฟุ้งกระจายอยู่เต็มไปหมด และขาดความสมเหตุสมผลในท้องเรื่องอยู่บ้าง แต่บทสรุปของหนังเรื่องนี้นั้นต้องถือว่าทำออกมาได้ดี
โดยสรุปแล้ว ฟ้าสีเลือด ก็ไม่ใช่แค่หนังผีแวมไพร์บนเครื่องบินธรรมดาๆ ทั่วไป หนังยังมีแก่นเรื่องที่ถูกใส่เอาไว้มากกว่านั้น ตามเวลาของหนังที่ยาวนานถึง 2 ชั่วโมงเศษๆ ข้อดีในสูตรสำเร็จของหนังก็คือทำให้คนดูได้กระจ่างในหลายๆ ปม หนังพาย้อนไปสำรวจตัวละครในเชิงลึกได้ค่อนข้างดีและไม่ปล่อยให้ผู้ชมรู้สึกคาใจ ถือว่าเก็บรายละเอียดในด้านเนื้อหาได้ค่อนข้างครบถ้วน ดูหนังออนไลน์
การตัดต่อภาพ การใช้ CG หรือเอฟเฟกต์ทำออกมาได้ดี สมจริง ที่ประทับใจและชอบที่สุดเป็นฉากที่แก้วลอยในเครื่องบิน ซีนนี้บอกเลยให้ความรู้สึกสมจริงสุด ๆ รู้สึกหวาดเสียวไปด้วยเลย แอบกลัวการขึ้นเครื่องบินเลยนะเนี่ย ซีนที่ใช้เอฟเฟกต์ ทั้งฉากระเบิด ไฟไหม้ สัตว์ตาย โดยรวมทำได้ดีทุกฉาก มีบางโมเมนต์ที่แอบอมยิ้ม ว่าเออ อันนี้น่ารักไปนิดนะ นี่กำลังดูหนังแอ็คชั่นระทึกขวัญอยู่ใช่ไหม ชอบที่สุดก็การแต่งหน้านาเดีย ออกมาเหมือนจริง ทั้งหู ใบหน้า ฟัน ดวงตา ออกมาดูเป็นสัตว์ประหลาดจริงจัง