รีวิวหนังnetflix Arrival
คือหนังไซไฟที่ก่อกระแสล่ารางวัลช่วงปลายปีที่แล้วยาวมาถึงต้นปีนี้ โดยมีความหวังจะเข้าไปถึงออสการ์รอบท้ายๆ และเป็นผลงานกำกับของ เดนนิส วิลเลเนิฟ ที่สร้างชื่อจากหลากหนังดราม่าซับซ้อนด้วยพลอตน่าสนใจอย่าง Prisoners กับ Enemy (2013) และ Sicario (2015) หนังฟรี ซึ่งในปีนี้เขายังจะมีหนังภาคต่อในตำนานอย่าง Blade Runner 2049 มาให้ชมอีกเรื่อง นับเป็นปีที่เขารุ่งสุดๆกับแนวไซไฟทีเดียว ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022
Arrival เป็นหนังอีกเรื่องนึง ที่ไม่ได้เล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา หนังใหม่ ซึ่งเข้ากันได้ดีกับสิ่งที่ตัวหนังอย่างจะสื่อและนำเสนอมุมมองในเรื่องของ “เวลา” ดูหนังออนไลน์ ที่ไม่ได้เป็นเส้นตรง มีจุดเริ่มและจุดจบอย่างที่มนุษย์เราเข้าใจ ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
สิ่งที่ชาวต่างดาวนำมามอบเป็นของขวัญให้เรานั้น คือ “ภาษา”
ภาษาต่างดาวนั้น ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าภาษาของมนุษย์เราหลายเท่า เป็นภาษาที่ไม่มีกระบวนการคิดจากหน้ามาหลัง ดูหนัง ทีละคำอย่างที่สมองเราคิด เป็นภาษาที่สมองนั้นคิดครั้งเดียวทั้งต้นและจบ เป็นภาษาสำหรับคนที่เห็นอดีตปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ดูหนัง ดังนั้นภาษาของพวกเขาจึงมีลักษณะเป็นวงกลม และมันยิ่งสวยงามก็ตรงที่ หนังได้ถ่ายถอดออกมาเป็นวงกลม ที่มันไม่ราบเรียบ ดูหนังฟรี มันมีร่องรอยและความขรุขระ ราวกับว่าแต่ละวงกลมที่สื่อสารออกไปนั้น มันคือเรื่องราวของอนาคตนึงที่เกิดขึ้นและจบลง หนึ่งเรื่องราว ดูหนังออนไลน์ เป็นการสื่อสารที่ครบสมบูรณ์ตั้งแต่แรกจนจบ สิ่งที่นางเอกคิดว่าเป็นชื่อของพวกต่างดาว
น่าจะเป็นสัญลักษณ์วงกลมที่แทนเรื่องราวการทั้งชีวิตทั้งหมดของคนๆนึง แทนการแนะนำตัวมากกว่า การที่เราจะเข้าใจและเรียนรู้ภาษานี้ มนุษย์จะมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และจะเข้าใจอะไรๆในจักรวาลได้อีกมากมายมหาศาล เช่นเดียวกับนางเอกที่แม้ศึกษาเพียงนิดเดียว ก็สามารถเห็นอนาคตไปถึงประมาณยี่สิบปี ถ้าศึกษาจนถ่องแท้ อย่างน้อยจะทำให้เห็นไปถึงสามพันปีเลยทีเดียว หรือไม่แน่อาจจะเห็นทุกอย่างเป็น infinity หรือเห็นทุกๆอย่างตั้งแต่เริ่มจนจบของจักรวาลก็เป็นได้ นี่จึงเปรียบได้ดังของขวัญที่ดีที่สุด ที่ต่างดาวจะมอบให้เราได้ จึงเป็นแรงบัลดาลใจที่นางเอกนำมาตั้งเป็นชื่อลูกว่า ฮันนา ที่อ่านได้ทั้งหน้าไปหลังและหลังไปหน้า ฮันนาเป็นคนที่มีความหมายในชีวิตของนางเอกมากที่สุด ชาวต่างดาวนำของขวัญนี้มาให้ เพื่อว่าวันนึง ในอีกสามพันปี เราจะช่วยเหลือเขาได้เช่นกัน แต่ทำไมชาวต่างดาวจึงอยากให้เรามองเห็นอนาคต..
หนังแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งของแต่ละประเทศบนโลกของเราอย่างชัดเจน แต่ละประเทศนั้นไม่มีใครแชร์สิ่งที่ได้เรียนรู้จากต่างดาว ทุกคนนึกถึงแต่ตัวเอง รวมทั้งการอวดศักดานุภาพเกี่ยวกับอาวุธ แต่อาวุธที่ดีที่สุดที่จะช่วยโลกเราได้ ก็คืออาวุธที่นางเอกมี สิ่งเดียวที่จะช่วยเหลือโลกเรา ที่มันย่ำแย่จนเกินจะเยียวยานี้ ก็คือการที่มนุษย์นั้น “ต้องเห็นจุดจบของโลกซะก่อน” โลกทั้งโลกถึงจะร่วมมือกัน และรักษาดาวโลกให้อยู่ต่อไปได้ ผมว่านี่คือสิ่งที่หนังอยากจะสื่ออย่างแท้จริง ซึ่งมันเป็นอะไรที่หนังนำเสนอออกมาได้อย่างสวยงามจริงๆ… ภาพในอนาคตที่หนังฉายให้เห็นเป็นภาพของนางเอกที่กำลังสอนภาษนี้ให้เหล่าผู้นำของโลกอยู่ ลองนึกภาพว่าถ้าคุณสามารถเห็นจุดเริ่มต้นของชีวิตบนโลกและวันที่มันล่มสลาย โดยที่รู้ว่าเราต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนั้น อย่างไม่มีทางเลี่ยง แน่นอนว่าเราต้องเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดในการปกครองประเทศ และให้ความร่วมมือกัน ดังเช่นภาพธงหลายๆประเทศที่แขวนไว้ข้างๆธงของต่างดาว
สำหรับเรื่องนี้มือเขียนบท อีริค ไฮซ์เซเรอร์ รีวิวหนังnetflix Arrival
ที่เคยมีผลงานในแนวแฟนตาซีสยองขวัญทั้งหนังรีเมคอย่าง A Nightmare on Elm Street (2010) The Thing (2011) และล่าสุดกับ Lights Out (2016) ก็ได้นำนิยายแนวไซไฟของ เท็ด เจียง เรื่อง Story of Your Life and Others มาดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์อันเป็นแนวถนัดของเขา ชื่อเดิมของนิยายเคยถูกจะนำมาใช้เป็นชื่อหนังเช่นกัน ทว่าคนที่ได้ดูรอบทดลองต่างเห็นว่ามันสปอยล์และไม่น่าสนใจพอจึงกลายมาเป็นชื่อหนังในปัจจุบัน
หนังเล่าเรื่องของ ดร.หลุยส์ แบงค์ (เอมี่ อดัม) ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ที่ถูกดึงตัวเข้าร่วมทีมของกองทัพสหรัฐในการตีความภาษาต่างดาว เพื่อทำการสื่อสารหาจุดประสงค์ของยานอวกาศลึกลับที่มายังรัฐมอนทาน่าซึ่งเป็น 1 ใน 12 จุดทั่วโลกที่ยานอวกาศได้มาเยือน เธอต้องร่วมมือกับนักฟิสิกส์อย่าง เอียน ดอนเนลลี่ (เจเรมี่ เรนเนอร์) ในฐานะทีมวิเคราะห์ประจำสหรัฐ โดยยังมีการประสานกับทีมนักวิทยาศาสตร์ของประเทศอื่นๆที่ยานอวกาศได้ไปจอด เช่น จีน รัสเซีย เป็นต้น
Arrival เป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นที่ตีพิมพ์ในปี 1998 เรื่อง Story of Your Life เขียนโดย Ted Chiang เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อมียานบินลึกลับจากนอกโลก 12 ลำมาเยือนโลก กระจายไปตามประเทศต่างๆ ทีนี้ทางรัฐบาลสหรัฐฯ เลยทาบทาม ดร. หลุยส์ แบงส์ (Amy Adams) ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา ให้ไปสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวในยานบินที่ลอยอยู่เหนือรัฐมอนทานา เพื่อหาคำตอบว่าพวกเขามาที่นี่ทำไม หลุยส์ต้องร่วมมือกับเอียน (Jeremy Renner) นักฟิสิกส์ที่มาร่วมทำภารกิจนี้ โดยพวกเขาเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้ภาษาที่เอเลียนใช้สื่อสาร หารู้ไม่ว่าภาษาใหม่นี้จะทำให้หลุยส์ได้รู้อะไรมากขึ้นกว่าเดิม
ถ้าถามผู้เขียนว่าชอบหนังแนวนี้ไหมก็บอกได้เลยว่าชอบมาก อย่างแรกที่ผู้เขียนชอบเกี่ยวกับหนังเรื่อง Arrival ก็คือการพูดถึงเกี่ยวกับยานเอเลี่ยนที่มาในแต่ละเมืองแต่ละประเทศ ซึ่งในหนังเรื่องนี้เขาก็จะพูดถึงการรับมือกับเอเลี่ยนในสถานการณ์ต่าง ๆ และชอบในด้านซีจีของหนังเรื่องนี้มากเช่นกันไม่แพ้ส่วนอื่น เพราะเขาทำออกมาได้ดีสมจริง โดยเฉพาะรูปทรงของยานเอเลี่ยนก็ไม่ซ้ำแบบใคร มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ทั้งสวยและน่ากลัวปนกันและสิ่งที่ชอบต่อมาก็คือการแสดงของดาราแต่ละคน ที่แสดงออกได้ดีสมและบทบาทมาก และสิ่งที่ชอบอีกอย่างก็คือ ซาวด์แทร็คประกอบหนังเรียกว่าทำออกมาได้เท่ากับแต่ละทีมมาก ๆ ดูแล้วอินไปกับหนังเลย บอกสิ่งที่ชอบไปหมดแล้ว
คราวนี้จะมาบอกสิ่งที่ไม่ชอบกันบ้าง เช่นฉาก Action ของหนังเรื่องนี้ก็ มีให้ดูน้อยมาก ๆ ในครั้งแรกที่ผู้เขียนเห็นปกหนังเรื่องนี้ ผู้เขียนคิดว่าจะต้องเป็นหนังที่มันมาก ๆ ประมาณระเบิดภูเขาเผากระท่อมแบบนั้นเลย เลยข้อนึงที่ไม่ชอบก็คือตอนจบของหนัง ซึ่งเหตุผลในการจบให้เข้าใจนั้นเหมือนว่าจะยังทำให้คนดูรวมถึงผู้เขียนยังไม่ค่อยเข้าใจในบางจุด
หนังใช้เวลาเปิดเรื่องราวด้วยบรรยากาศคลุมเคลือ
เป็นเสมือนดั่งห้วงคำนึงของตัวละครที่กำลังนึกถึงเหตุการณ์ในชีวิตบางอย่าง และเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างผลกระทบต่อความคิดและความรู้สึกของตัวละครให้ตกอยู่ภายใต้สภาวะ “อึมครึม” ระหว่างที่หลุยส์เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยเพื่อไปสอนหนังสือ แต่ระหว่างนั้นเองก็มีข่าวด่วนแจ้งเข้ามาว่ามียานลึกลับเดินทางมายังโลกมนุษย์
หลังจากนั้นเองหลุยส์ก็ได้รับการว่าจ้างให้ไปช่วยเหลือกองทัพหลังจากได้รับสัญญาณคลื่นเสียง และที่น่าตกใจกว่าคือเธอได้รับหน้าที่ในการเข้าไปในยานของต่างดาวเพื่อติดต่อสื่อสาร เจรจากับเอเลี่ยนซึ่งในหนังได้นิยามว่าพวกเขาคือ “เฮพตาพ็อดส์”ความพยายามพูดคุยด้วยเสียงไม่เกิดผล จนกระทั่งหลุยส์เลือกจะใช้วิธีการใช้ “ตัวอักษร” สื่อสารกับพวกเค้า และการตอบสนองที่ได้รับก็คือ พวกเค้าสื่อสารกลับมาด้วย “ภาพ” ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับวงกลงแต่สามารถสื่อความหมายบางอย่างได้กว่าจะถอดรหัสความหมายของวงกลมแต่ละรูปได้ ก็ใช้เวลานานพอสมควร แต่อีกฝากหนึ่งของโลกอย่างประเทศจีนกลับมีความเห็นที่คิดว่าถ้าหากเจรจาไม่ได้เรื่องก็ควรจะตอบโต้ด้วยการใช้อาวุธ สถานการณ์กำลังจะบานปลาย และในช่วงเวลาแห่งความคับขันนี้เองทำให้หลุยส์ได้เรียนรู้คุณค่าของการเป็น “มนุษย์คนหนึ่ง” อย่างที่เธอไม่เคยเป็นมาก่อน
ด้วยความล้ำลึกของบทภาพยนตร์ ARRIVAL
นั้นทำให้เราได้ชมภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวที่มีความล้ำลึกทางความคิด มีการแสดงชั้นเลิศของเอมี่ อดัมส์ที่แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของผู้หญิงคนหนึ่งในวาระต่างๆ อีกทั้งมันยังชักชวนคนดูขบคิดตลอดรายทางของเรื่อง ก่อนนำเสนอบทสรุปที่นอกจากชวนประทับใจและเหนือความคาดหมายอีกด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สนุกเลย พอดูจริงๆ แล้วเราว่าก็เพลินนะ มันช้าจริงแหละ แต่ก็ลุ้น แม้ว่าหนังจะเนิบมาก นิ่งมาก แต่ก็กดดันมากเช่นกัน โดยเฉพาะฉากที่เหล่าตัวเอกเข้าไปในยานแล้วพูดคุยกับเอเลียน ตัวเอเลียนซึ่งอยู่อีกฝั่งกระจกก็มีรูปร่างหน้าตาประหลาดๆ น่ากลัวๆ ใช้วิธีพ่นหมึกเป็นการสื่อสาร เป็นฉากนิ่งๆ ที่น่าติดตาม ลุ้นแต่ละครั้งว่าพวกเขาจะได้ข้อมูลอะไรใหม่ๆ กลับมาไหม แล้วเอเลียนจะเปลี่ยนท่าทีจากนิ่งๆ เป็นโจมตีรึเปล่า
เรื่องภาษาเอเลียนนี่ก็น่าสนใจ หนังมีการตีแผ่ทฤษฎีด้านภาษาศาสตร์ออกมาเพื่อทำความเข้าใจภาษาต่างถิ่น ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดีสำหรับคนที่ไม่ได้เรียนด้านนี้อย่างเรา อีกทั้งยังขยายความว่าภาษาที่ต่างกันไปนั้นส่งผลต่อมุมมองความคิดของเรา อย่างในหนังมีการเอ่ยอ้างถึงชาตินึงที่คุยกับเอเลียนด้วยภาษาเกมหมากรุก ในขณะที่ทีมของตัวเอกใช้ภาษาอังกฤษพื้นฐานเข้าสื่อสาร เราก็พอจะเดาได้ว่าภาษาหมากรุกน่าจะเต็มไปด้วยนัยที่สื่อถึงสงคราม การต่อสู้ แพ้ชนะ ในขณะที่ภาษาอังกฤษพื้นฐานนั้นจะเน้นไปที่การสื่ออารมณ์และความคิดมากกว่า
อันที่จริงแล้ว สิ่งที่พีคของหนัง ไม่ใช่ความไซไฟ รีวิวหนังnetflix Arrival
แต่เป็นสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อมากกว่า เหมือนหนังเอาความไซไฟมาเป็นตัวประกอบเพื่อเล่าเรื่อง แต่แก่นแท้ของเรื่องนั้นไปไกลกว่าฉากหน้าที่มีเทคโนโลยีสุดล้ำ เขียนตรงนี้ก็กลัวจะสปอยล์ไป เอาเป็นว่ามันมีการแตะปรัชญาชีวิตในแง่ของการปล่อยวาง และซึมซาบชีวิตให้เต็มที่ พอหนังเฉลยแล้วทำให้รู้สึกว้าวมาก ไม่นึกว่าหนังจะเบนเข็มมาเล่นประเด็นนี้ มีจุดหักมุมที่เกี่ยวข้องกันด้วย ซึ่งแนะนำว่าต้องไปดูเองจริงๆ
การมาเยือนของเอเลียนในหนัง ที่มาพร้อมกันหลายๆ ลำ กระจายตัวไปทั่วโลกนี่ ก็ทำให้แต่ละประเทศต่างตื่นตระหนก เร่งหาวิธีของตัวเองเพื่อรับมือกับสิ่งแปลกใหม่นี้ ซึ่งตรงนี้มีจุดน่าสนใจหลายอย่างที่แสดงออกมาให้เห็น มันสะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของการสื่อสารระหว่างประเทศ ความไม่ปรองดองกัน เอะอะใช้กำลัง ไม่แชร์ข้อมูลที่สำคัญให้กัน พอแต่ละประเทศไม่พูดคุยกันแบบนี้ ก็ยากที่จะรับมือกับปัญหาระดับโลกได้
สิ่งที่ชอบมากในเรื่องนี้คือ cinematography งานภาพที่ถ่ายให้คงอยู่ในธีมของความรักและหนังไซไฟให้เข้ากันเป็นได้อย่างดีและชัดเจน หลากๆฉากตั้งใจถ่ายออกมาได้สวยมาก ภาพในบ้านของนางเอกที่เป็นทั้งความทรงจำในอนาคตและอดีต ถูกถ่ายถอดออกมาทางภาพได้ดี ฉากความรักของแม่ที่มีต่อลูก ส่วนใหญ่จะเป็นฉาก close up ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเวลาที่เราได้อยู่ใกล้คนที่เรารัก , screenplay ที่เล่าเรื่องได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกอย่างมีความสอดคล้องกันได้อย่างลงตัว และมีนัยยะช่วนให้คิดมากมาย
สิ่งที่ผมประทับใจอีกอย่างก็คือ “ทางเลือก” ของอนาคต อย่างที่หนังบอกไว้ว่ามีประมาณ 280กว่าทางเลือก จากตอนที่ต่างดาวเขียนทิ้งไว้ก่อนระเบิดในยาน ซึ่งก็ตรงกับที่นางเอกพูดไว้ว่า “คุณละเลือกใช้ชีวิตกับคนที่เรารักแบบนี้มั้ย ทั้งๆที่รู้ว่ามันจะจบลงด้วยความเจ็บปวดอย่างไร”
ส่วนประโยคในเรื่องที่ผมว่ากินใจที่สุด คงจะเป็นประโยคที่พระเอกบอกนางเอกว่า “เรามีลูกกันเถอะ” นางเอกรู้ทั้งรู้ ว่าลูกของเธอกับเขานั้น วันนึงจะต้องป่วยตาย ทั้งๆที่เธอมีทางเลือกในอนาคตมากมาย แต่เธอก็ตอบว่า “yes” และเลือกที่จะขอให้ได้ใช้เวลา กับลูกคนนี้ ที่มีความหมายที่สุดในชีวิตสำหรับเธอ แม้มันจะสั้นแค่ไหนก็ตาม