รีวิวหนังnetflix American Murder
หนังสารคดีที่นำคุณไปพบกับคดีสะเทือนขวัญอเมริกาเมื่อปี 2018 เมื่อหญิงสาวที่กำลังตั้งท้องและลูกสาววัยเด็กสองคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจากบ้าน ดูหนังฟรี และสามีของเธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ท่ามกลางการปิดบังอำพรางคดีที่น่าขนลุกทั้งก่อนและหลังการเปิดเผยความจริงทั้งหมด ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
โดยปกติเนื้อหาของสารคดีมักจะต้องมีฟุตเทจจำลอง รีวิวหนังnetflix American Murder
หรือการนำเสนอแบบแทน เหตุการณ์จริงในหลายช่วง เพราะไม่มีการบันทึกภาพ เสียง ย้อนหลังไปในช่วงเวลานั้น แต่หนังสารคดีเรื่องนี้ทุกอย่างคือภาพ เสียง จากของจริงลำดับตามเวลาการหายตัวไปตั้งแต่ต้น โดยมาจากกล้องติดตัว ของตำรวจที่เป็นคนแรกที่ได้รับแจ้ง รวมถึงคนอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสืบสวนนี้ ดูหนังออนไลน์
ได้บันทึกผ่านกล้องที่ติดตามตัว หรือผ่านกล้องวงจรปิด ในห้องสืบสวน ซึ่งทำให้ได้มุมมองที่อาจจะไม่ได้เห็นกันง่ายๆ นัก อย่างการสืบสวนแบบบันทึกเสียงจี้ไปยังผู้ต้องสงสัย หรือการสืบโดยใช้เครื่องจับเท็จ ที่ผู้ใช้เครื่องมีจิตวิทยาการ หลอกล่อผู้เข้ารับการทดสอบตั้งแต่แรก ไม่ใช่เพียงแค่ฝากการพิสูจน์ไว้กับเครื่องเพียงเท่านั้น ซึ่งเราจะได้เห็นขั้นตอนเหล่านี้ที่ดูแล้วน่าทึ่ง
ชวนอึ้งมากกับแนวทางการสืบสวนที่คาดไม่ถึง
ยกตัวอย่างเช่น แค่การลดน้ำหนักเพื่อให้ หุ่นดีของผู้ต้องสงสัย กลับเป็นจุดจับผิด ขยายไปถึงเรื่องราวต่างๆ ในเวลาต่อมาได้ อย่างน่าทึ่งมากๆ จนต้องยอมรับเลยว่าตำรวจสืบ สวนของอเมริกาใช้ทั้งจิตวิทยา หลักฐาน การคาดคะเน พุ่งเป้าสืบสวนจนไขคดีได้ภายในเวลาอันสั้นมากๆ แค่ 3 วันเท่านั้น แต่เรื่องราวก็ไม่ได้จบแค่ตรงนั้น ยังมีชุดความจริงที่ซ่อนอยู่ในเรื่องราวเหล่านี้ลึกลงไปอีก ซึ่งกว่าจะขุดออกมาได้ ก็ต้องผ่านไปอีกระยะเวลาหลายเดือน เรื่องราวถึงกระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น กันแน่ในวันนั้น
จากนั้นในเช้าวันที่ 13 สิงหาคม 2018 นิโคล แอตคินสัน เพื่อนสาวของ แชนแนน ได้โทรหาแชนแนนเพื่อเช็คว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพราะเธอได้มาส่งเพื่อนคนนี้เราตี 2 หลังจากที่ไปสัมมนาต่างเมืองมา แต่การโทรศัพท์ ของนิโคลนั้นไม่มีใครรับสาย ไม่ว่าจะโทรกี่ครั้งก็ตาม และก็ส่งข้อความไปหาอีกหลายครั้งก็ไม่มีการตอบกลับ นิโคลจึงตัดสินใจขับรถไปบ้านของแชนแนน และเธอก็ได้เรียกตำรวจท้องที่ให้เข้ามาตรวจสอบ
ซึ่งในตอนแรกยังไม่สามารถเข้าบ้านได้ จึงตัดสินใจโทรตาม
คริสโตเฟอร์สามีของแชนแนน ที่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าให้กลับมาบ้าน จากนั้นทุกคนและตำรวจ ก็เข้าไปตรวจสอบภายในบ้าน ซึ่งเมื่อเข้าไปไม่พบตัวแชนแนน และลูกสาวทั้งสองคน ที่น่าตกใจก็คือผ้าห่มที่ลูกสาวทั้งสองคน นั้นติดก็หายไปด้วย และเป็นเรื่องผิดปกติมากเพราะในวันนี้แชนแนน มีนัดกับแพทย์ เพื่อตรวจครรภ์ลูกคนที่ 3 และรถของเธอก็ ยังจอดอยู่หน้าบ้าน และนิติและที่น่าแปลกที่สุดคือ เธอทิ้งโทรศัพท์มือถือเอาไว้ซึ่งเธอเป็นคนที่เล่นโซเชียลมีเดียเป็นอย่างมาก อัพคลิปแล้วโพสต์อัพคลิปแล้วโพสต์ข้อความใส่โซเชียลมีเดียอยู่ตลอดเวลา อยู่ตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะทิ้งโทรศัพท์เอาไว้
สารคดีเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคดีอาชญา กรรมสุดสะเทือนขวัญเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา เมื่อหญิงสาวในครอบครัวหนึ่งที่กำลังตั้งท้องค้นพบว่าลูกสาววัยเด็กทั้ง 2 คนของเธอได้หายตัว ไปจากบ้านอย่างไร้ร่องรอย อีกทั้งสามีของ เธอก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีดังกล่าวนี้ เรื่องราวมันยิ่งยากขึ้นไปอีกเมื่อคนที่ทำจริงๆนั้นมีการปิดบังอำพรางคดีได้อย่างดีเยี่ยม
ต้องบอกก่อนเลยว่า สารคดีเรื่องนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่อบอวล รีวิวหนังnetflix American Murder
นอกจากฟุตเตจฝั่งตำรวจแล้ว ตัวสารคดียังเล่าเรื่องดราม่าชีวิตครอบครัวแชนแนนด้วยภาพ
เนื้อหาอีกส่วน คือช่วงคดีความในศาล ที่สั้นมาก สั้นจนรู้สึกว่าเป็นจุดด้อยของเรื่องนี้ เพราะหลาย อย่างที่เป็นประเด็นช่วงนั้น อย่างการสู้คดี ของฝ่ายสามีที่แม้จะสารภาพ แต่ก็ไม่ได้สารภาพทั้งหมด และเป็นประเด็นใหญ่ลามไปจนถึงโลกโซเชียลมีเดียแบ่งฝ่ายเชื่อกับไม่เชื่อผู้ต้องหา ที่พาให้ครอบครัวผู้เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายต้องเดือดร้อนจากคดีนี้เพิ่มไปอีก ซึ่งพวกนี้ถูกเล่าออกมาสั้นๆ อาจจะเพราะนี่เป็นภาพยนตร์จึงไม่ต้องการเนื้อหาที่ยาวเกินไปนัก (เรื่องนี้ยาว 1 ชั่วโมง 22 นาที)
นี่เป็นสารคดีที่นอกจากจะเจาะลึกเรื่องราวคดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญ ยังเป็น สารคดีที่นำเสนอ เรื่องราวอีกด้านของชีวิตคู่ที่ดูภาย นอกดีหมดทุกอย่าง แต่เบื้อง หลังกลับตรงข้าม ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวส่วนตัวที่ผู้คนเปิดเผยผ่านโซเชียลมีเดีย เป็นเหมือนหน้ากากสร้างภาพปิดบังความจริง ที่เป็นชนวนเหตุไปสู่จุดจบแบบที่เพื่อนในเฟซบุ๊กเหล่านี้ก็ไม่มีทางคิดว่าจะเป็นไปได้
เรื่องราวในสารคดีนี้มาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ เช้าวันที่ 13 สิงหาคมปี 2018 ตำรวจในเมืองเฟรเดอริก รัฐโคโลราโด ได้รับการติดต่อมาจาก นิโคล แอตคินสัน ว่าแชนแนน-เพื่อนสนิทของเธอได้หายตัวไป เธอเป็นกังวลจึงขอให้ตำรวจเข้าไปตรวจสอบในบ้านหน่อยว่าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นรึเปล่า
เมื่อตำรวจเดินทางไปยังบ้านของครอบครัววัตต์ พวกเขาพบกับความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ที่นั่น ก่อนที่นิโคลจะพยายามเปิดประตูโรงรถด้วยรหัสที่แชนนอนตั้งไว้ ซึ่งคริส วัตต์ จะเดินทางมาหลังจากพบสัญญาณเปิดประตูนั้น
ในตอนแรก วัตต์แสดงท่าทางตกใจและเป็นกังวลกับการหายตัวไปของภรรยาและลูกๆ ของเขา อีกทั้งยังเดินไปข้อข้อมูลกล้องวงจรปิดจากเพื่อนบ้านพร้อมกับตำรวจอีกด้วย ในเวลานั้นเองที่วัตต์บอกกับตำรวจว่า แชนนอน ภรรยาของเขากำลังตั้งท้องเด็กอีกหนึ่งคน
แม้ท่าทีของวัตต์จะทำให้เห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใยกับการหายตัวไป แต่เพื่อนบ้านก็รู้สึกแปลกๆ กับบุคลิกของวัตต์อยู่ไม่น้อย โดยบอกกับตำรวจไปว่า วัตต์ไม่เคยมีท่าทีแบบนี้มาก่อน มันดูผิดวิสัยอยู่พอสมควร
แต่ถึงอย่างนั้น วัตต์เองก็ยังแสดงออกมาถึงความเป็นห่วงต่อครอบครัวของเขา มีช่วงหนึ่งที่เขาพูดผ่านสื่อที่มาทำข่าวด้วยว่า อยากให้ภรรยาและลูกๆ ของเขากลับมาบ้านได้เสียที เพราะบ้านที่ไม่มีพวกเขาอยู่นั้น มันไม่ใช่บ้านเลย
จากนั้นตำรวจเร่งตามหาร่องรอยและหลักฐานต่างๆ จนพบว่า บุคคลที่น่าสงสัยมากที่สุดในคดีนี้ก็คือตัวคริสเองนี่แหละ ปัจจัยสำคัญมาจากการที่ตัวเขาไม่ผ่านการทดสอบเครื่องจับเท็จ (ตามรายงานข่าวระบุว่า วัตต์ทำคะแนนได้ต่ำกว่าค่ามาตรฐานไปมาก) รวมถึงภาพที่เห็นว่ามีรถคันหนึ่งขับออกไปจากตัวบ้านในช่วงเวลาที่คาดว่าแชนแนน และลูกๆ หายตัวไป
ในที่สุดแล้ว คริสก็สารภาพเรื่องราวทั้งหมดออกมาด้วยตัวเอง ในตอนแรกนั้น เขาสารภาพว่าเป็นคนลงมือฆ่าแชนนอนจริงๆ แต่อ้างเหตุผลว่า ที่ต้องฆ่าแชนนอน เพราะแชนนอนได้ทำร้ายร่างกายลูกทั้งสองคนจนเสียชีวิต ทำให้เขาต้องตัดสินใจฆ่าแชนนอน
นี่เป็นครั้งแรกที่เราเห็นภาพของการโทษเหยื่อ (victim blaming) จากปากของคริส ซึ่งมันเป็นเหมือนข้ออ้างที่เขาใช้เพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์เฉพาะหน้าในห้องสอบสวน คริสโทษว่าต้นเหตุคือแชนนอนที่ลงมือฆ่าลูกๆ ก่อน ทั้งที่ความจริงแล้ว (ความจริงที่คริสเองก็สารภาพออกมาภายหลัง) คริสเองนี่แหละคือฆาตกรตัวจริง
ในเวลาต่อมาเมื่อถูกสถานการณ์บีบต้อนจนเข้ามุม คริสสารภาพออกมาเองว่า เขาลงมือฆ่าแชนนอนและลูกสาวทั้งสองด้วยตัวเอง เรื่องราวมันเกิดขึ้นหลังจากที่แชนนอนจับได้ว่าคริสนอกใจ พวกเขาทะเลาะกันอย่างรุนแรงในเช้าวันนั้น เขาบีบคอแชนนอนจนเธอเสียชีวิต
หลังจากนั้น เบลล่า ลูกสาวคนโตเดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี การที่ลูกสาวเดินเข้ามาเห็นร่างของแชนนอนทำให้เขาตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่โหดร้าย นั่นคือ ขับรถพาลูกทั้งสองและร่างของแชนนอนไปยังนอกเมือง
เขาจับลูกทั้งสองคนโยนลงในบ่อน้ำมัน จากนั้นก็ฝังศพร่างของแชนนอนในบริเวณที่ไม่ไกลจากกันนัก
“นี่อาจจะเป็นอาชญากรรมที่ไร้มนุษยธรรมที่สุด และโหดร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยตัดสินมาจากหลายพันคดี” เราขอหยิบคำพูดจากผู้พิพากษามาไว้ที่ตรงนี้อีกครั้งเพื่อสะท้อนถึงความรู้สึกที่ผู้คนมีต่อการกระทำของคริส โดยคดีนี้จบลงด้วยการที่ศาลตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตให้กับคริส ทั้งจากความผิดฐานฆ่าภรรยาและลูกๆ รวมถึงความผิดจากการอำพรางศพ (สารคดีระบุว่า เพราะคริสรับสารภาพเขาเลยพ้นจากโทษประหาร)
คดีนี้ไม่ได้มีเรื่อง Victim blaming แค่ในตอนที่คริสให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ แต่ผลของคดีนี้ เมื่อมันกลายเป็นเรื่องใหญ่และถูกพูดถึงในวงกว้างแล้ว กลับมีความเห็นจากคนบางคนที่ออกมาพูดว่า จริงๆ แล้วทั้งหมดนี่ ถึงแม้ว่าคริสจะเป็นคนลงมือฆ่า แต่ความผิดก็ควรตกอยู่ที่แชนนอนด้วย
คนที่ออกมาให้เหตุผลทำนองนี้ อ้างว่า จากข้อมูลตามหน้าสื่อต่างๆ ทำให้เห็นว่า แชนนอนเองก็ไม่ได้เป็นแม่และภรรยาที่ดี (ซึ่งขัดกับความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความมากๆ เพราะผู้เขียนเชื่อว่ามันคือการยัดเยียดความผิดให้กับเหยื่อทั้งที่เหยื่อไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ขณะเดียวกันยังสร้างความชอบธรรมให้กับผู้ที่ใช้ความรุนแรงอีกด้วย)
บทวิเคราะห์จาก VOX พูดถึงประเด็น Victim blaming นี้ได้อย่างชัดเจนมากๆ ว่า ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในสารคดีนี้อยู่ตรงที่การที่สารคดี เลือกที่จะตอบโต้การยัดเยียดความผิดให้กับเหยื่อโดยใช้ ‘ความจริง’ ที่ผู้ทำสารคดีได้รวบรวมมาจากทั้งผ่านสื่อและข้อมูลจากเจ้าหน้าที่