รีวิวหนังnetflix แหยม ยโสธร
เรื่องราวความรักที่สุดแสนจะใสซื่ออบริสุทธิ์ของคนหนุ่มคนสาวบ้านไร่แดนอีสาน โดยผ่านมุมมองของ “เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หม่ำ จ๊กม๊ก” ตลกชื่อดังที่ฝากผลงานให้สะท้านกันมาแล้วทั่วหน้าจาก “บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม” (2547) และคราวนี้กลับมาอีกครั้งพร้อมทำหน้าที่เป็นทั้งผู้กำกับและนักแสดงเหมือนเดิม ดูหนังฟรี พร้อมหนีบนักร้องสาวพันหน้าอย่าง “เจเน็ต เขียว” มาร่วมแจมความฮากันกระจุยกระจายเต็มท้องทุ่งยโสธร ดูหนังออนไลน์ ร่วมด้วยน้องสาวพราวเสน่ห์อย่าง “แวว จ๊กม๊ก” และนักแสดงหน้าใหม่เลือดอีสานเข็มข้น “อุ้ม-ชัยพันธ์ นินกง” และ “ออแกน-เยาวลักษณ์ ตุ้มบุญ” ด้วยแรงบันดาลใจจากหนังรักทั้งหลายในอดีต บวกกับทิศทางความตลกโปกฮาที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด จนกระทั่งวันนี้จึงได้ออกมาเป็นผลงานสร้างเสียงหัวเราะในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้ชื่อว่า “แหยมยโสธร” ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
กลางทุ่งนาที่ร้อนเดือดพล่านของหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดยโสธร “ทอง” (ชัยพันธ์ นินกง) และ “สร้อย” (เยาวลักษณ์ ตุ้มบุญ) กำลังจีบกันอย่างชนิดที่ว่าหวานจนน้ำตาลท่วมทุ่ง ในขณะที่ “แหยม” (หม่ำ จ๊กม๊ก) น้าชายสไตล์จิ้มลิ้มคนเดียวของทองถูก “เจ้ย” (เจเน็ต เขียว) สาวหน้าคมคล้ำ…คมขำทั้งตามตื๊อตามจีบหลงรักสุดหล่ออย่างแหยมชนิดหัวปักหัวปำ ทำให้แหยมรำคาญเป็นที่ซู้ด…ดดด ทั้งสี่เป็นอันรู้กันว่าเจ้ยหลงรักแหยมอย่างลงรากฝังลึก และพยายามทุกทางให้แหยมตอบรับน้ำใจอันนี้ แม้ว่าทองกับสร้อยจะช่วยลุ้นให้ทั้งคู่ลงเอยกันเสียที แต่แหยมก็ไม่เคยหันมาสนใจ
ถึงแม้ว่าเรื่องราวความรักของทองและสร้อยกำลังไปกันได้ด้วยดี
แต่ทั้งคู่ยังคงต้องหลบๆ ซ่อนๆ เนื่องจาก “คุณนายดอกท้อ” (แวว จ๊กม๊ก) คุณป้าสุดเช้งวับระดับไฮโซของสร้อยนั้นจงเกลียดจงชังความจนของทองมากเหลือเกิน ทำให้คุณนายดอกท้อเข้าขัดขวางทั้งคู่ทุกวิถีทาง แยกความรักของพวกเขาไปไกลถึงเมืองบางกอก ฝ่ายสาวๆ ต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานใจเพราะพิษแห่งความคิดถึงทองและแหยม จนกระทั่งวันหนึ่งสร้อยได้รับคำสั่งจากคุณนายดอกท้อให้กลับไปยังบ้านนอกด่วน เนื่องจากได้จัดงานหมั้นอย่างใหญ่โตให้กับสร้อยและพ่อ “ยอดชาย” ลูกชายกำนันที่แสนจะมั่งคั่งหล่อเข้มขึ้นอย่างกะทันหัน ความรักระหว่างสร้อยและทองจะสมหวังหรือไม่นั้น แหยมและเจ้ยจะร่วมหอลงโรงกันได้หรือเปล่า
ทั้งสี่เป็นอันรู้กันว่า เจ้ยหลงรักแหยมอย่างลงรากฝังลึก และพยายามทุกทาง ให้แหยมตอบรับน้ำใจอันนี้ แม้ว่าทองกับสร้อย จะช่วยลุ้นให้ทั้งคู่ลงเอยกันเสียที แต่แหยมก็ไม่เคยหันมาสนใจ
ถึงแม้ว่าเรื่องราวความรักของทองและสร้อย กำลังไปกันได้ด้วยดี แต่ทั้งคู่ยังคงต้องหลบๆ ซ่อนๆ เนื่องจาก คุณนายดอกท้อ (แวว จ๊กม๊ก) คุณป้าสุดเฉิงวับระดับไฮโซของสร้อยนั้น จงเกลียดจงชังความจนของทองมากเหลือเกิน ทำให้คุณนายดอกท้อเข้าขัดขวางทั้งคู่ทุกวิถีทาง แยกความรักของพวกเขาไปไกลถึงเมืองบางกอก ฝ่ายสาวๆ ต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมานใจ เพราะพิษแห่งความคิดถึงทองและแหยม
กระทั่งวันหนึ่งสร้อยได้รับคำสั่งจากคุณนายดอกท้อกลับไปยังบ้านนอกด่วน
เนื่องจากได้จัดงานหมั้นอย่างใหญ่โตให้กับสร้อย และพ่อยอดชายลูกชายกำนัน ที่แสนจะมั่งคั่งหล่อเข้มขึ้นอย่างกะทันหันความรักระหว่างสร้อยและทอง จะสมหวังหรือไม่…แหยมและเจ้ยจะร่วมหอลงโรงกันได้หรือเปล่า?…ด้วยเนื้อหาของหนังที่ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุการณ์แบบนับ 1 – 2 – 3 ดังนั้นอย่างเดียวที่ “หม่ำ จ๊กมก” (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา)ในฐานะของผู้กำกับฯ จะต้องทำให้ได้ใน “แหยม ยโสธร” ของเขานี้ก็คือการดึงให้คนดูยืนอยู่บนพื้นฐานของความตลกและสนุกไปกับมุกทั้งหลายที่ถูกใส่เข้าไปให้ได้ ที่เป็นรูปธรรมออกมาอย่างชัดเจนก็คือ สีสันของภาพ เครื่องแต่งกาย ทรงผม และการแสดงแบบโอเวอร์แอ็กติ้งของตัวละคร
การหยิบเอาเรื่องใกล้ตัวด้วยการนำเอาเรื่องราวของความเป็นท้องถิ่นของตัวผู้กำกับขึ้นมาขายคือจุดหลักของหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดภาษาอีสาน มุกทะลึ่งๆ ความซื่อ ความจริงใจๆ ทั้งหมดน่าจะกลายเป็นเสน่ห์ที่ทำให้แหยม ยโสธรสร้างความประทับใจคนดูได้ไม่ยากนัก หากแต่เพราะการ “จงใจ” ที่จะเล่นมุกแบบ “บังคับให้ขำ” ในหลายๆ ฉากส่งผลให้อารมณ์ของหนังดูจะขัดๆ เกินๆ ขึ้นๆ ลงๆ รวมถึงการได้กลับไปยังความเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดของนักแสดง(ตลก)หลายๆ คนและตัวผู้กำกับเองก็เหมือนกับการยกเอาตลกคาเฟ่ ตลกในรายการทีวี หรือเอาตลกละครไปเล่นในท้องไร่ท้องนาอย่างไรอย่างนั้น
ด้วยการกำกับของคุณหม่ำ จ๊กมก “ตลกตัวพ่อ” ของเมืองไทย รีวิวหนังnetflix แหยม ยโสธร
เรียกว่ากำกับเองเล่นเองตั้งแต่ภาคแรกแล้ว ด้วยบทตัวนำเด่นอย่าง “ไอ้แหยม” ที่แสดงโดยคุณหม่ำเอง (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) และนางเอกของเรื่อง “อีเจ้ย” แสดงโดยคุณเจเน็ต เขียว (นงนุช สมบูรณ์) ภาพยนตร์ที่มีกลิ่นอายย้อนยุคช่วงกางเกงขาบาน รองเท้าส้นสูงหรือส้นตึกกำลังฮิต แต่ละคนจะแต่งชุดแสบสันเรียกว่าสีสดใสตัดกันเห็นๆ ในภาคสองนี้คุณหม่ำเรียกว่าเป็นป๋าดันเต็มตัวเลย เพราะว่าในภาคนี้คุณหม่ำได้เหมาทั้งวงศ์ตระกูลมาเล่นเลย อย่างบทนางเอกก็ได้ลูกสาวมาเล่นให้ในบทของ “อีแว่” (บุษราคัม วงษ์คำเหลา-เอ็ม)
ส่วนลูกชายคนเล็กของเรื่องก็ให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณหม่ำมาแสดงเช่นเดียวกัน ในบทของ “บักคำผาน” (เพทาย วงษ์คำเหลา-มิกซ์) ส่วนตัวประกอบอื่นๆ อย่างเกษตรฉัตรชัย ก็ได้คนในวงศ์ตระกูล วงษ์คำเหลามาเล่นอีก (จรณ์ วงษ์คำเหลา) และยังมี “วงษ์คำเหลา” อีกหลายคนมาเล่นเรื่องนี้ นอกนั้นก็จะเป็นสมาชิกในวงจ๊กมกของคุณหม่ำซะเกือบหมด เรียกว่าหนังเรื่องนี้เป็นอุตสาหกรรมในครอบครัวของคุณหม่ำเลยก็คงไม่ผิดอะไร ตัวเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้จะกล่าวถึงรุ่นลูกของไอ้แหยมกับอีเจ้ยแล้ว แม้ว่าบทสนทนาในภาพยนตร์จะเป็นภาษาอีสานหรือภาษาท้องถิ่นของชาวยโสธร แต่ก็เป็นภาษาที่ฟังง่ายๆ ไม่ถึงกับไม่เข้าใจ
แต่ถ้าคิดว่ากลัวจะไม่เข้าใจ ก็ยังคงมีบทพากย์เป็นภาษาไทยให้อ่านอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นเรื่องที่ว่าจะดูหนังเรื่องนี้ไม่รู้เรื่องก็คงตัดทิ้งไปได้เลย คุณหม่ำพยายามที่จะสอดแทรกประเพณีบั้งไฟที่โด่งดังของชาวยโสธรเข้ามาในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ก็อย่างที่บอกหนังตลกเป็นหนังไร้สาระ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะนำเรื่องบั้งไฟเข้ามาในเรื่อง เราก็แค่รู้ว่าประเพณีบั้งไฟเป็นหน้าตาของชาวยโสธรเท่านั้น แต่เรื่องที่ว่า ต้องมีพิธีอะไรบ้างที่เป็นกิจจะลักษณะ คงหาไม่ได้เลยจากเรื่องนี้ อีกอันคือประเพณีทำขวัญหรือบายศรีสู่ขวัญ ซึ่งเป็นประเพณีที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของชาวอีสานที่มีเอาไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองหรือผู้ที่จะเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเสมือนเป็นการรับขวัญ
พี่ท่านก็เอามาเล่นเป็นตลกโปกฮาไปเสียทั้งหมดเลยไม่ได้อะไรจากตรงนี้
นอกจากเสียงฮาของคนข้างๆ ผมบางคนเท่านั้น ก็บอกแล้วว่าเป็นหนังตลกอย่าไปคิดมาก อ๋อ..แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่คุณหม่ำทิ้งท้ายไว้สำหรับคนอีสาน คือเรื่องของภาษา คุณหม่ำบอกว่าไม่อยากให้คนอีสานลืมภาษาท้องถิ่นของตัวเอง อันนี้ผมเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ในด้านการแสดงน้องเอ็มลูกสาวคุณหม่ำอาจจะเป็นการแสดงในเรื่องแรก ผมว่าเธอยังเล่นแข็งๆ ไปหน่อยไม่ค่อยธรรมชาติมากนัก สำหรับน้องมิกซ์ ที่เคยผ่านการแสดงมาแล้วหลายเรื่อง อย่างเรื่องล่าสุดถ้าผมจำไม่ผิดก็คงเป็นเรื่อง 5 หัวใจฮีโร่ ที่น้องมิกซ์ได้ฝากผลงานเอาไว้ มาเรื่องนี้การแสดงก็ยังคงที่ครับ
คงต้องพัฒนาอีกเยอะ เพราะว่าบทเด่นๆ อาจจะไม่ได้อยู่ที่น้องสองคนนี้ก็ได้ แต่บทเด่นจริงๆ อยู่ที่คุณหม่ำพ่อตาสุดซ่าส์และคุณดิมลูกเขยสุดแสบมากกว่า ในภาคนี้คุณหม่ำได้เป็นถึงกำนันแหยม แต่ว่าคนที่จะมาจีบลูกสาวคือปลัดธนู (หรินทร์ สุธรรมจรัส-ดิม นักร้องนำวงแทททูคัลเลอร์) ถ้าพูดถึงการแสดงของคุณหม่ำ ผมว่าตัดไปได้เลย เพราะว่าคุณหม่ำเรียกว่าระดับมือโปรแล้ว แต่กับคุณดิมถึงแม้ว่าไม่ใช้นักแสดงมาก่อนแต่ก็เป็นถึงนักร้องยอดนิยมของไทยอีกคนหนึ่งที่มีแฟนคลับอยู่หนาแน่น ในเรื่องก็เล่นได้กวนมาก ซึ่งเราเคยดูมาแล้วกับหนังที่เป็นลักษณะพ่อตาซ่าส์ลูกเขยแสบ แต่สำหรับพ่อตากับลูกเขยคู่นี้เรียกว่าแสบไม่กินเส้นกันแบบไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ในด้านมุขตลกหลายๆ มุขที่นำมาเสนอเรื่องนี้บางมุขก็ฮาบางมุขก็ยังแป้ก ส่วนมุขที่ผมว่ามันฮาดีก็คงเป็นมุขตอนทำบายศรีสู่ขวัญ กับตอนสุดท้ายที่ “อีเจ้ย” บอกว่า “เลิกสีได้แล้ว” ผมว่าฮาดีนะครับ ส่วนจะเป็นสีอะไรคงต้องให้เข้าไปชมกันเอง สำหรับเรื่องคำหยาบก็คงหนีไม่พ้นเพราะเรื่องนี้ก็มีพอสมควรเหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่าเรื่อง บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม ในตอนท้ายๆ เรื่องที่ชอบให้นายโหน่งมาด่าคำแรงๆ อันนั้นรับไม่ได้จริงๆ เรื่องบทของหนังเรื่องนี้คงไม่ต้องไปพูดถึง แต่โทนหนังของเรื่องนี้ผมว่าดูดีนะครับ เห็นถึงชีวิตของชาวชนบทถึงแม้ว่าแค่บางส่วนก็ยังดี ภาพสวยครับเพราะหนังเรื่องนี้เน้นสีสันอยู่แล้ว
ที่ขาดหายไปในหนังเรื่องนี้ก็คือ “ความตลกที่เป็นธรรมชาติ ” รีวิวหนังnetflix แหยม ยโสธร
เพราะทุกอย่างล้วนแล้วแต่ถูกจัดวางถูกเซ็ตขึ้นมาแบบจงใจกระทั่งบางครั้งเราจะเห็นว่าตัวละครดูร่าเริงจนเกินความเป็นจริงอย่างขาดเหตุผลรองรับ ตัวเอกอย่าง “ทอง” แม้จะดูซื่อ จริงใจ แต่ความซื่อที่ถูกวางไว้ไม่ได้ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์ในการชวนให้คนดูเกิดความเห็นใจหรือลุ้นไปกับความรักระหว่างเขากับ “สร้อย” สักเท่าไหร่ ในขณะที่ตัว “แหยม” เองก็ดูจะแย่งซีนคนอื่นไปเยอะทีเดียว
มุกคำสบถแบบหยาบๆ รวมถึงการปรากฏตัวของผู้กำกับในฐานะของนักแสดงชนิดทำเอาตัวละครอื่นๆ ที่น่าจะเด่นในระดับเดียวกัน(หรือสมควรจะมากกว่าด้วยซ้ำ)กลายเป็นตัวประกอบเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้หนังอยู่ในภาวะความเสี่ยงพอสมควรเนื่องจากจังหวะการเล่นมุกของตลกคนนี้หลายคนเริ่มที่จะเดาทางได้ ที่สำคัญหม่ำก็ยังคงเป็น “หม่ำ จ๊กมก” ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาคุ้นมุกกันเป็นอย่างดี
เงื่อนไขของ “แหยม ยโสธร” จึงขึ้นอยู่กับกระแสความนิยมในตัวของหม่ำคนเดียวไม่ต่างอะไรมากนักจากหนังเรื่องแรกของเขาอย่าง “บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม” ที่ไม่อาจจะสรุปได้อย่างเต็มที่นักว่าความสำเร็จจากรายได้ของหนังทั้งสองเรื่องที่ออกมาอาจจะบ่งบอกถึงคุณภาพของตัวหนังหรือฝีไม้ลายมือในการกำกับของเขาอย่างชัดเจน
เวลาแห่งความสุขก็ได้ล่วงเลยผ่านฝน ผ่านหนาว ผ่านร้อนมาอีกหลายฤดู “บักแหยม” (หม่ำ จ๊กมก) ผู้มีรักจริงกับ “เจ้ย” (เจเน็ต เขียว) สาวผู้รักมั่นคงมิเคยเสื่อมคลาย ลูกๆ ก็โตจนเรียนจบหรือไม่ก็ออกเรือนกันไปหมด เหลือแค่เพียง “คำผาน” (เพทาย วงษ์คำเหลา) ที่ยังเรียนไม่จบ ซ้ำชั้น ม.ศ.5 มาสามปี สร้างความระทึกใจให้กับกำนันแหยมและเจ้ยเรื่อยมา
จนกระทั่ง “คฑาเทพ” (ลิขิต บุตรพรม) ลูกชายอีกคนของกำนันแหยมกำลังจะเรียนจบกฎหมาย กลับมาเยี่ยมบ้านช่วงปิดเทอม ในระหว่างเดินทางกลับบ้านนั้นคฑาเทพก็ได้พบกับ “รำพัน” (อิงฟ้า เกตุคำ) หญิงสาวที่เดินทางกลับมาพร้อมกันโดยบังเอิญ และทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น ความรักของทั้งคู่คงจะผลิบานอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่ว่า…รำพันดันเป็นลูกสาวคนโตของ “กำนันปอย” (เฉิน เชิญยิ้ม) เพื่อนรักเพื่อนแค้นในอดีตที่ไปแย่งแฟนเก่าของแหยมมา นั่นคือ “รำพึง” (เอ็นดู วงษ์คำเหลา) ซึ่งยังมี “รำเพย” (รัตติยาภรณ์ ภักดีล้น) ลูกสาวอีกคนที่เป็นถึงดาวประจำโรงเรียนที่คำผานดันตกหลุมรักเข้าให้อีก แล้วมีหรือที่คำผานจะพลาดการชิงชัยรักนี้