รีวิวหนังnetflix Seoul Vibe ซิ่งทะลุโซล (2022)
มีฉากหลังอยู่ในเกาหลีใต้ปี 1988 ตรงกับช่วงเวลาที่กรุงโซลได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ท่ามกลางความยิ่งใหญ่อลังการที่ประชาชนต่างภาคภูมิใจ อีกมุมหนึ่งยังเกิดการทุจริตคอร์รัปชันครั้งยิ่งใหญ่โยงใยไปสู่องค์กรระดับประเทศ อัยการใจเด็ดผู้กำลังสืบเบาะแสจึงรวมทีมนักซิ่งที่ต่างมีคดีติดตัวอย่าง ดูหนังฟรี ซังกเยดงซูพรีม ให้ทำภารกิจเปิดโปงขบวนการฟอกเงินดังกล่าว ดูหนังออนไลน์ แลกกับการนิรโทษกรรมและทำให้ความฝันในการไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ยังสหรัฐอเมริกาของพวกเขาเป็นจริง ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงปี 1988 รีวิวหนังnetflix Seoul Vibe ซิ่งทะลุโซล (2022)
เป็นช่วงที่กำลังจะมีมหกรรมเทศกาลโอลิมปิกที่กรุงโซล ดองอุก (ยูอาอิน) ชายหนุ่มที่มีทักษะการขับรถที่ไม่เป็นสองรองใคร เขาเป็นพวกเด็กเกเรและชอบทำเรื่องผิดกฎหมายอยู่บ่อยๆ หลังจากไปสร้างเรื่องที่ต่างประเทศ เขาก็ได้เดินทางกลับมายังเกาหลี ทว่าหลังจากกลับมาได้ไม่นาน เขาและเพื่อนๆ กับถูกอัยการเข้าจับกุม แต่ในความโชคร้ายยังมีเรื่องดีอยู่ เพราะอัยการไม่ได้กะมาจับเขาและเพื่อนๆ เข้าคุกอยู่แล้ว แต่มาเสนองานให้ทำ โดยจะแลกกับการที่จะลบล้างความผิดให้กลุ่มพระเอกทั้งหมด พร้อมกับจะออกวีซ่าให้เพื่อให้ย้ายไปอยู่ยังอเมริกา ซึ่งงานที่อัยการเสนอให้ก็คือการไปแฝงตัวเป็นคนขับรถส่งของให้กับผู้มีอิทธิพล เพื่อสืบหาหลักฐานมามัดตัวพวกคนร้าย สุดท้ายแล้วเรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ดองอุกจะสามารถทำภารกิจลับนี้ได้สำเร็จหรือไม่ ทุกคนต้องไปรับชมด้วยตาตัวเอง
Seoul Vibe ซิ่งทะลุโซล ภาพยนตร์วัยรุ่นที่จะพาเราย้อนไปยุค 80 ช่วงเวลาก่อนพิธีเปิดโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1988 ที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ หลังรัฐบาลทหารของนายพลชอนดูฮวานยอมคืนอำนาจให้ประชาชน และจัดการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม 1987 จนได้มาซึ่งประธานาธิบดีโนแทอู ที่ชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้น
ซึ่งในภาพยนตร์ Seoul Vibe มีเหตุการณ์ข้องเกี่ยวกับเค้าโครงเรื่องจริง
โดยสะท้อนชีวิตของวัยรุ่นแก๊งซิ่งที่เข้าไปพัวพันกับการทุจริตคอร์รัปชันครั้งยิ่งใหญ่ และเสียดสีผู้นำประเทศตามเรื่องราวในภาพยนตร์ได้อย่างเจ็บแสบ ผู้กำกับ มุนฮยอนซอง เล่าถึงแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ว่ามาจากปี 1988 ที่สังคมเกาหลีขัดแย้งกันอย่างรุนแรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นยุคที่ผู้คนร่วมมือกันอย่างถึงที่สุด ด้วยความที่สภาพบ้านเมืองเพิ่งจะเริ่มเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย และโซลกำลังเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกที่จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของประเทศดีขึ้นในสายตานานาชาติ
นอกจากแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ผู้กำกับมุนฮยอนซองยังผนวกเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นในโซลที่สดใส สนุกสนาน และเต็มไปด้วยแพสชัน โดยเฉพาะวัยรุ่นแก๊งรถซิ่งที่เต็มไปด้วยความฝันถึงอนาคตและสังคมที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งแก๊งรถซิ่งในภาพยนตร์ Seoul Vibe ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกเขาคือตัวละครของนักแสดงเคมีเข้าขากลุ่มนี้ ยูอาอิน อีคยูฮยอง โกคยองพโย องซองอู และ พัคจูฮยอน
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเหมือนหนัง Fast & Furious ฉบับเกาหลี
เพราะเนื้อเรื่องคล้ายกันคือ พระเอกเป็นพวกซิ่งรถ และมาทำงานให้ตำรวจ แต่ต่างกันตรงที่หนังเรื่องนี้มันไม่ได้เท่หรือบู๊แบบเดือดๆ เหมือน Fast แต่มันคือหนังฟามเวอร์ชั่นตลกโปกฮา แถมในหนังก็เป็นยุค 80 ทำให้รถที่ใช้นี่อย่างวินเทจเลย คือเป็นหนังที่เอาไว้ดูแก้เครียด เบาสมอง ในด้านของบทนั้น ส่วนตัวผมมองว่าทำได้ดีระดับนึงเลยนะ แม้ว่าหนังจะเน้นไปที่ความตลกและเฮฮา แต่ก็ยังมีบางช่วงที่แฝงอะไรบางอย่างไว้ ทั้งจุดยืนของอัยการฝั่งพระเอกที่แกดูขำๆ แต่ก็มีจุดยืนที่ชัดเจนมาก หรือตัวละครพระเอกที่แม้จะดูชิวๆ แต่ลึกๆ ก็ยังเป็นแค่วัยรุ่นที่คิดไม่ค่อยได้ ผมชอบฉากที่พระเอกคุยกับอัยการตอนช่วงท้ายมาก ที่พระเอกเลือกจะหนี เพราะทำไปก็เสี่ยงเปล่าๆ และเขาบอกว่าเขาสนแต่รถ ไม่ได้สนเรื่องการเมืองบ้าบออะไรหรอก คือซีนนี้เป็นซีนที่ดึงอารมณ์พอสมควร จากตลกมาทั้งเรื่องมาจริงจังเฉย
แต่สิ่งที่น่าเสียดายเลยคือ หนังยาวไปนิด คือเรื่องราวมันไม่ได้มีอะไรมากมายเลย ถ้ากระชับให้สั้นกว่านี้คงจะกำลังดีและสนุกมากขึ้น เพราะตอนเริ่มหนังใช้เวลาในการปูเรื่องค่อนข้างนาน และอาจทำให้หลายคนรู้สึกไม่ชอบและไม่อยากดูต่อ แต่พอเล่าเรื่องมาได้ซักพักทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น มีฉากแข่งรถให้ดู มีการสอดแทรกมุขตลกมาตลอด คือถ้าผ่านช่วงแรกมาได้ก็น่าจะดูได้ยาวๆ โดยรวมด้านการดำเนินเรื่องถือว่าอยู่ระดับกลางๆ เพราะมีหลายช่วงที่อืดและยืดเยื้อไปบ้าง ต่อมาด้านการแสดง ส่วนนี้ผมไม่ติดอะไรเลย เพราะเรื่องนี้นี่รวมนักแสดงตัวท็อปๆ มาไว้ทั้งนั้น ทุกคนแสดงได้ดีสมบทบาทหมดเลย ด้านการแสดงไม่มีอะไรจะติ อีกอย่างที่อยากบอกเลยคือ ใครที่เป็นคอหนังเกาหลีอยู่แล้ว ผมมองว่าน่าจะหลงรักเรื่องนี้ได้ไม่ยาก เพราะการเล่าเรื่องหรือมุขตลกมันสไตล์หนังเกาหลีที่เราชื่นชอบกันเลย
เป็นภาพยนตร์ที่โฆษณาตัวเองอย่างหนักเกี่ยวกับพล็อตเรื่อง พาคนดูไปสัมผัสเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของเกาหลีใต้อย่างการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 1988 เมื่อเซ็ตฉากหลังย้อนยุคมาขนาดนี้จึงส่งผลต่อเนื้อหาสาระที่มุ่งนำเสนอสังคมเกาหลีขณะนั้นซึ่งคาบเกี่ยวระหว่างการสิ้นสุดรัฐบาลทหารของ นายพลชอนดูฮวาน สู่ช่วงเวลาที่ประชาธิปไตยกำลังเบ่งบานภายใต้รัฐบาลของ ประธานาธิบดีโนแทอู ที่มาจากการเลือกตั้ง หนังได้ขมวดความสูญเสียและความร่วมมือร่วมใจของผู้คนออกมาอย่างแยบยล ซ้ำยังเสียดสีบุคคลสำคัญท่านหนึ่งได้เจ็บแสบมากทีเดียว
สิ่งที่น่าประทับใจคือการดีไซน์สภาพสังคมชนิดเก็บครบทุกรายละเอียด
American Dream ของกลุ่มวัยรุ่นที่เริ่มแสวงหาความศิวิไลซ์แบบชาวตะวันตกสะท้อนผ่านสไตล์การแต่งตัว ทรงผม แบรนด์ชื่อดังอย่าง Nike และ Adidas ที่เริ่มมีอิทธิพลต่อโลกตะวันออก แนวเพลงฮิปฮอปที่เริ่มฮิตติดหูและนำมาทำเป็นมิกซ์เทป กระทั่งความนิยมรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดโดยเฉพาะ McDonald’s ที่เพิ่งมาเปิดกิจการสาขาแรกในช่วงโอลิมปิกฤดูร้อน รวมทั้งตึกรามบ้านช่องที่ขับกลิ่นอายปี 1988 ออกมาได้อย่างชัดเจน ถือว่าโลกสมมติที่ทีมเบื้องหลังสร้างขึ้นสอบผ่านฉลุยในการพาเราไปสำรวจบ้านเมืองในยุคนั้น ยิ่งใครเป็นแฟนซีรีส์ Reply 1988 (2015) มาก่อน บอกเลยว่าจะอินกับเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
เมื่อ Seoul Vibe พาตัวละครไปพบกับการทุจริตของคนใหญ่คนโต เส้นเรื่องอาชญากรรมจึงเริ่มทำงานผ่านการเล่าเรื่องแบบหนังสายลับ ปฏิบัติการแฝงตัวที่มาพร้อมความทุลักทุเล ถูกตำรวจไล่ล่า แผนซ้อนแผน การถูกจับได้ ความไว้เนื้อเชื่อใจ กระทั่งตัวละครบางตัวที่ต้องพบกับจุดจบร้ายแรงก็ตาม สิ่งเหล่านี้หนังเสิร์ฟมาให้เราครบทุกมิติเพียงแต่ไม่ได้เข้มข้นจัดจ้านจนต้องลุ้นตัวเกร็ง ดำเนินเรื่องไปตามท่ามาตรฐานไร้การหักมุม ออกแบบมาเพื่อคนดูที่อยากปล่อยใจรับชมโดยไม่คิดอะไรมาก ภาพรวมของการเล่าเรื่องจึงไม่ผาดโผนแต่มีเสน่ห์มากพอให้ติดตามไปถึงตอนจบได้
ส่วนสุดท้ายคือด้านงานภาพและโปรดักชั่น ส่วนนี้คือขอชื่นชมมากๆ โดยเฉพาะงานภาพ ผมชอบมากๆ ถ่ายทำดีมาก ภาพสวยทุกซีน ทุกฉาก โทนสีภาพก็ดี มุมกล้องต่างๆ ก็ถือว่าดีเลย แต่ขอติเรื่อง CGI หน่อยที่อาจจะมีลอยๆ ไปบ้าง ซึ่งน้อยมากๆ โดยรวมส่วนใหญ่คือดีหมด ส่วนการโปรดักชั่นก็จัดเต็มเช่นกัน ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม เพลงประกอบก็พอ การตัดต่อก็อยู่ในเกณฑ์ดี ทุกอย่างทำได้ดีเกือบหมด นอกจากนี้ฉากแอ็คชั่นก็ทำได้ดี แม้จะมีซีจีลอยไปบ้าง แต่สำหรับหนังแนวแอ็คชั่นคอมเมดี้ทำได้ขนาดนี้นี่คือเยี่มมากๆ แล้ว สรุปโดยรวมคือ หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่พอดูได้เพลินๆ ทำออกมาดีในหลายๆ ทาง
แล้วตัวเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครพี่น้องครอบครัวมารวมแก๊งแบบฟาสนี่ก็ยิ่งไปใหญ่ เพราะหนังเหมือนบทแบบเล่นขายของไปวันๆ เข้าแก๊งฟอกเงินที่จัดแข่งหานักขับเจ๋งที่สุดในประเทศก็เข้าไปได้ง่ายเหลือเกิน ตัวเรื่องที่ให้มีภารกิจส่งของเป็นรอบๆ ก็เหมือนมีไปงั้นๆ ไม่ได้มีความพีคในภารกิจแต่ละครั้ง ไปเน้นที่ว่าพวกพระเอกได้เงินมาจากการส่งของเยอะจนเริ่มฟุ้งเฟ้อปรนเปรอลืมๆ ภารกิจไปก็เท่านั้น โดยมีตัวร้ายบ้าหทารที่เข้มงวดคอยทดสอบหาเรื่องจับผิดให้ดูเครียดๆ ขึ้นมานิดนึง แต่ด้วยความที่อยากทำหนังโทนตลก สุดท้ายมันก็เลยไม่ได้จริงจังอะไรในเนื้อหานั้นเลย แถมยังไม่ตกลเลยสักนิด ไม่ขำเลยสักฉากตั้งแต่ดูมาจนจบ ไม่ใช่เพราะเส้นลึก แต่มุกมันได้ทำให้ขำเลยจริงๆ
แถมด้วยความเชยของการย้อนยุคในเรื่องที่พยายามขายกันสุดๆ รีวิวหนังnetflix Seoul Vibe ซิ่งทะลุโซล (2022)
ซึ่งก็ไม่รู้จะย้อนยุคไปโยงกับโอลิมปิคปี 1988 เพื่ออะไร เพราะแทบไม่ได้ใช้ประโยชน์จากตรงนี้เลย แล้วการย้อนยุคในเรื่องมันยิ่งทำให้ตัวละครมักทำตัวเฉิ่มๆ แต่งตัวเชยๆ สีสันโทนเรื่องก็ดูเก่าเชยไปอีก รถในเรื่องก็ดูไม่ได้แรงแบบรุ่นใหม่ มันเลยกลายเป็นการย้อนยุคที่ทำให้ตัวเรื่องดูดรอปลงมากกว่าจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้เรื่องสนุกขึ้น แต่คนเกาหลีเองอาจจะชอบพวกสิ่งของโอลสคูลในเรื่องก็ได้ แต่คนบ้านเราคงไม่ได้อินกับพวกนี้เท่าไหร่นัก เพราะคนละวัฒนธรรมกันเลย แม้จะมีที่บ้าเหมือนกันอย่างพวกรองเท้ากีฬา แต่ก็เป็นกลุ่มเฉพาะทางมาก
Netflix ยังคงเดินหน้าผลิตออริจินัลคอนเทนต์ทั้งซีรีส์และภาพยนตร์จากฝั่งเกาหลีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด Netflix ส่งข่าวว่ากำลังเตรียมสร้าง Seoul Vibe หนังแอ็กชันอาชญากรรมที่อัดแน่นไปด้วยรายชื่อนักแสดงนำระดับหัวแถว ทั้ง ยูอาอิน (Chicago Typewriter, Voice of Silence), โกคยองพโย (Reply 1988, Private Lives), อีคยูฮยอง (Prison Playbook, Hi Bye Mama), พัคจูฮยอน (Extracurricular, Mouse), องซองอู (At Eighteen, More Than Friends), คิมซองกยุน (Reply 1988, The Fiery Priest), จองอุงอิน (Chief of Staff, Woman of 9.9 Billion) และ มุนโซรี (The School Nurse Files, Three Sisters)
Seoul Vibe จะรับประกันทั้งคุณภาพและความสนุกด้วยฝีมือการกำกับของ มุนฮยอนซอง ที่เคยสร้างงานคุณภาพอย่างภาพยนตร์ As One และภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนปนเสียงหัวเราะอย่าง The King’s Case Note
ส่วนงานใหม่อย่าง Seoul Vibe ที่ต้องเรียกว่า Netflix หมายมั่นให้เป็นภาพยนตร์แอ็กชันระดับ Blockbuster เล่าเรื่องการไล่ล่าสุดระทึกของกลุ่มนักซิ่งรถซังกเยดงที่เกิดขึ้นพอดิบพอดีในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงโซลในปี 1988 ขณะที่ทุกสายตาจากทั่วโลกกำลังจับจ้องไปที่กีฬาโอลิมปิกที่กำลังจะเปิดฉากขึ้น มันจึงเป็นช่วงเวลาอันเหมาะเจาะในการลักลอบขนเงินอย่างผิดกฎหมาย อันจะนำพามาซึ่งแผนปฏิบัติการเฉพาะกิจที่มีนักดริฟต์มือหนึ่งอย่าง ดงอุค (ยูอาอิน) เป็นหัวโจกของแก๊ง