รีวิวซีรี่ย์ netflix เรื่อง Signal

รีวิวซีรี่ย์เกาหลี วันนี้จะมารีวิวซีรี่ย์ netflixมาใหม่ เรื่อง Signal (สัญญาณลับ ล่าข้ามเวลา) ซีรี่ย์แนว ดราม่า, บันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์, ภาพยนตร์แนวแฟนตาซี, กระตุกขวัญ, ละครไขคดีสืบสวน มาพร้อมกับดาราเกาหลี นักแสดงมากฝีมือและหล่อ ที่สาวๆ เห็นจะต้องกรี๊ดกันอย่างแน่นอน อย่าง อี เจ-ฮุน สามารถดูได้แล้วแบบเต็มเรื่อง หรือถ้าใครอยากอ่านรีวิวก่อนก็ได้ที่นี้เลยครับ

เรื่องย่อ สัญญาณลับ ล่าข้ามเวลา

signal เรื่องย่อ เปิดหัวมาด้วยการเผยรอยแผลในอดีตของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ไม่รีรอที่จะบอกว่าเขาคือเจ้าหน้าที่วิเคราะห์พฤติกรรมอาชญากรนามว่าพัคแฮยอง (อีแจฮุน) แล้วต่อมาด้วยการพบกันระหว่างหมวดพัคกับสายสืบชาซูฮยอน (คิมฮเยซู) จากความเข้าใจผิดสายสืบชาจึงพาหมวดพัคมาที่ สน. เมื่อหมวดพัคกำลังจะกลับเสียงของวิทยุสื่อสารเก่าๆเครื่องหนึ่งก็ดังขึ้นที่กองวัสดุเก่าที่กำลังจะถูกนำไปทิ้งทำลายและหมวดพัคหยิบมันขั้นมาสนทนา แล้วเสียงจากวิทยุสื่อสารได้นำพาให้หมวดพัคไปเจอหลักฐานสำคัญในคดีที่ค้างคาปิดไม่ลงและกำลังจะหมดอายุความ หมวดพัคและสายสืบชาจึงต้องร่วมกันไขคดีแรกและพบว่ามันเกี่ยวพันกับคดีการหายตัวไปของสายสืบอีแจฮัน (โจจินอุง)

และเมื่อหมวดพัคทราบว่าการติดต่อผ่านวิทยุสื่อสารนั้นคือเสียงของสายสืบอีแจฮันที่อยู่ในอดีต จากความไม่เชื่อกลายมาเป็นเชื่อและร่วมกันไขคดีในอดีตที่ส่งผลมายังปัจจุบัน ซึ่งมันเกี่ยวพันกันเหมือนโชคชะตาระหว่างสายสืบอีแจฮันหมวดพัคแฮยอง และสายสืบชาซูฮยอนอย่างแนบแน่น ทำให้ในที่สุดสายสืบในอดีตกับตำรวจในปัจจุบันต้องร่วมกันไขคดีที่ค้างคามากมายผ่านการสื่อสารทางวิทยุสื่อสารเก่าๆนั้น และเรื่องราวก็เกี่ยวข้องกับผู้คนมากมายหลากหลายที่เป็นปริศนาซ้อนปริศนาปมซ้อนปม ที่แน่นจนคาดเดาไม่ออก ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้เดินหน้าอย่างเต็มกำลังตั้งแต่ตอนแรกและยากที่ผู้ชมจะหยุดอยู่ เพราะทั้งมันส์และสนุกเหลือเกิน

Signal

บท Signal เรื่องแข็งที่แข็งแรง และพลังแรงสูงตลอดทาง

แรกเลยที่ทำให้เรื่องนี้ได้บัญญัตินิยามที่ว่า “อีกสักตอนไม่มีอยู่จริง” ให้ใครหลายคนนั่นคือเนื้อเรื่องที่แข็งแรง ก็ใช่ที่มันมองเห็นความเกี่ยวพันกันปานโชคชะตาลิขิตมาอย่างน่าประหลาด แต่นั่นต้องยอมรับอีกอย่างว่าซีรีส์เรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อปี 2016 และเห็นชัดเจนเรื่องแรงบันดาลใจ แต่ความที่มันมีความเกี่ยวพันกันนั้นแต่ผ่านการผูกเรื่องที่แน่นหนาจากงานด้านบทที่ไม่มีริ้วรอยจึงทำให้เรื่องแข็งแรงมาก ประกอบกับชั้นเชิงการเล่าเรื่องสลับห้วงเวลาที่เล่าได้เข้าใจง่ายไม่ต้องระทมกบาลก็ยิ่งทำให้คดีต่อคดีประเด็นต่อประเด็นถูกพัฒนาตามเวลาที่ล่วงผ่าน ทำให้เรื่องไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่แต่เดินหน้าไปอย่างขึงขังไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งหลายคนต้องอดหลับอดนอนเพราะมันชวนให้ติดตามอย่างเหนือชั้น

ส่วนที่ฉันชอบคือเทคนิคภาพ ใช้รูปภาพที่มีขนาดและสีต่างกันเพื่อสื่อถึงสิ่งที่เคยเป็นและปัจจุบัน สิ่งนี้ช่วยให้เรื่องราวที่ดูเหมือนซับซ้อนในช่วงเวลาต่างๆ มีความโดดเด่นและเห็นภาพได้อย่างชัดเจน เพื่อที่ผู้ชมจะได้ไม่สับสน บทที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับเทคนิคการซ้อนทับ โพลิกอนตามสไตล์เกาหลีคือเปิดหน้าเผยอ พลิกหักมุม ครั้งแล้วครั้งเล่าจนคนดูเดาทางไม่ออก บทการซ้อนกรณีทำให้แต่ละกรณีมีกรณีที่ดูเหมือนจะเป็นอิสระหรือแตกต่างจากกัน แต่กลายเป็นว่าพวกมันเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบและน่าสนใจ เมื่อรวมกับกลยุทธ์การเล่าเรื่องและพัฒนาการของเรื่องราว มันค่อยๆ ขมขื่นในหมู่ผู้ชมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในแง่ของบท ตัวละคร และอารมณ์

ทำให้เรื่องเดินหน้าเต็มกำลังตั้งแต่ตอนแรกแล้วทวีเงื่อนปมเรื่องราวให้เข้มขึ้น ระทึกขึ้น ทิ้งปมปริศนาให้ชวนติดตามขึ้นเรื่อยๆในตอนท้ายของทุกตอน ส่งผลให้ผู้ชมยากที่จะหยุดดูได้ จนอาจมีบ้างบางคนอดหลับอดนอนกันและผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ถึงตีสามไปโดยไม่รู้ตัว รวมถึงการตัดต่อที่ฉับไวแต่ไม่ดูโดดแม้จะตัดไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันทำให้ลุ้นทุกนาที ซึ่งองค์ประกอบที่ว่านี้มาจากบทที่ไร้ที่ติ งานทางด้านภาพ และชั้นเชิงการเล่าเรื่องทำให้ตลอดสิบหกตอนที่ผ่านไปไม่มีตอนไหนที่พลังตก มีแต่เพิ่มขึ้นในทุกๆตอนเมื่อเงื่อนปมต่างๆที่วางไว้ในคดีที่ร่วมกันไขมาเริ่มขมวดเข้าใกล้ความจริง แล้วก็หักมุมจนอย่างหนักครั้งแล้วครั้งเล่า แต่แม้จะเหมือนหลอกผู้ชมให้คาดเดาแล้วหักหลัง ผู้ชมอย่างเราๆยังคิดว่า รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก

Signal

การแสดงที่ต้องจดจำ Signal

ด้วยบทที่ไร้ที่ติในเรื่องของไอเดียและชั้นเชิง สิ่งที่ตามมาที่จะเสริมให้ตัวเรื่องมีน้ำหนัก สมจริง ดึงอารมณ์ร่วมของผู้ชมให้ไปจนสุดทางคือการแสดง เพราะตัวละครทุกตัว ย้ำ ทุกตัวไม่เว้นแม้แต่ตัวร้ายล้วนแล้วแต่มีเบื้องหลังมีปมในใจทุกคน ซึ่งด้วยมิติทางด้านอารมณ์และความลึกของตัวละครขนาดนี้ หากนักแสดงเล่นไม่ได้ตัวเรื่องมีเป๋กลางทางเป็นแน่เพราะมันเป็นเรื่องราวออกแฟนตาซีสืบสวนสอบสวนที่เป็นจริงแค่ในจินตนาการ ซ้ำยังเต็มไปด้วยความซับซ้อนซ่อนเงื่อนทั้งกับตัวเรื่อง คดี และมิติตัวละครที่มีความซับซ้อนอยู่ข้างใน ดังนั้นนักแสดงต้องรับผิดชอบบทของตัวเองให้เต็มที่ที่สุด

เรื่องนี้ผู้เขียนไม่ได้มองว่าใครด้อยกว่ากันอย่างมีนัยสำคัญ พวกเขาทั้งสองมีฉากที่ไร้กาลเวลาและน่าจดจำพอๆ กัน แต่ดูเหมือนว่า Kim Hye-soo จะมีความซ้ำซ้อนอยู่บ้างเนื่องจากตัวละครของเธอมีมิติทางอารมณ์ที่สูงกว่า เนื่องจากมีเรื่องราวด้านเดียวของความรัก การสูญเสีย ความคิดถึง ความสับสน และความสงสัย นี่คือความตรงไปตรงมาที่คิมฮเยซูเป็นละครที่ดีที่สุดที่เธอเคยดูมา (ไม่นับเป็นงานหนังใหญ่) แม้ว่าผู้เขียนเองจะติดใจการแสดงของเธอเมื่อดูเรื่องนี้และติดตามเธอดูเรื่องต่อๆ ไปก็ตาม ฉันยังเห็นได้ว่าการแสดงของคิมฮเยซูในเรื่องนี้เป็นผลงานชิ้นเอก ถ่ายทอดจากภายในสู่ภายนอกจนคนดูสัมผัสได้

Signalตัวละคร ของอีแจฮุนที่แม้จะมีปมในใจเป็นเบื้องลึกไม่ต่างกันแต่มิติของตัวละครของคิมฮเยซูแพรวพราวกว่าเท่านั้น กระนั้นแม้จะอ่อนประสบการณ์กว่าแต่อีแจฮุนก็ยังเยี่ยมพอที่จะไม่ถูกระดับเจ้าแม่อย่างคิมฮเยซูกลบฝัง กลับกันเขาเยี่ยมพอจนกระทั่งสามารถเชือดเฉือนกับแม่ได้อย่างสนุกกินกันไม่ลงเมื่อขึ้นจอร่วมกัน แต่ที่คิมฮเยซูดูดีกว่านิดหน่อยอย่างที่กล่าวไว้คือการแสดงที่ต้องแสดงเพียงลำพัง และด้วยมิติตัวละครก็ทำให้คิมฮเยซูอาจดูเหลื่อมกว่านิดๆ และด้วยเคมีที่ลงตัวกันแบบจัดจ้านทำให้ผู้ชมบางคนอาจมีแอบจิ้นคู่นี้ จนถึงขนาดคุณแม่บ้านดูแล้วยังมองว่าสายสืบชาน่าจะกินเด็กแน่นอนและเชื่อว่าผู้ชมบางคนก็แอบลุ้นให้เป็นเช่นนั้น จัดว่าเป็นการประชันการแสดงกันอย่างสนุกที่ทำให้เรื่องมีพลังสูง

สำหรับนักสืบ Li Jaehan ที่แสดงโดย Zhao Zhenxiong เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญอยู่แล้ว และมิติของบทและตัวละคร (ขออนุญาติ ไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ) Jo Jin Woong รับผิดชอบอย่างรวบรัดที่สุด น่าเสียดายที่เขาและคิมฮเยซูมีปัญหาเล็กน้อยในกองถ่าย ดังนั้นฉันจึงไม่เห็นประสิทธิภาพที่ลดลงสำหรับทั้งสองอย่าง แต่เท่าที่ดูเคมีของนักแสดงนำทั้งสามเข้ากันได้อย่างลงตัว เพราะผู้ฟังเชื่ออย่างสุดใจว่ามีความเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งซึ่งเชื่อถือได้ ต้องให้เครดิตกับตัวละครสนับสนุนอื่น ๆ ที่เล่นและทำให้พล็อตเรื่องดีขึ้นหรือแย่ลง ส่งเสริมให้เรื่องราวมีมิติมากขึ้น สมเหตุสมผลมากขึ้น แม้แต่รายละเอียดที่เล็กที่สุดก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ

และสิ่งประดามีเหล่านั้นก็ทำให้เรื่องนี้จะกลายเป็นตำนานอย่างมิต้องสงสัย เพราะเมื่อใดที่มีคนเอ่ยถามถึงงานซีรีส์แนวสืบสวนระดับคลาสสิคขึ้นหิ้ง เชื่อว่าเรื่องนี้คือหนึ่งในคำตอบที่คนดูซีรีส์เกาหลีแนวนี้ต้องเอ่ยถึงและบอกกันปากต่อปาก แต่งานนี้มันคืองานที่เก่า (ถ้าว่ากันที่งานซีรีส์หกปีถือว่าเก่าเพราะชั้นเชิงต่างๆจะเริ่มเปลี่ยนไป) หากแต่ก็เป็นหนึ่งในงานที่เรียกว่า “เก่าแต่ดี” เพราะแม้เวลาจะล่วงเลยมานานพอดูและมีงานแนวนี้ที่ออกมาหลังจากนี้มากมาย ซึ่งหากได้ลองติดตามมาพอประมาณก็จะพอเห็นว่าแนวทางหรือทิศทางของเรื่องจะไม่ได้บิดไปจากนี้ กลายเป็นขวดเหล้าที่มีไว้ใส่น้ำอำพันลงไปแต่อยู่ที่สิ่งที่ใส่ลงไปจะมีดีกรีและความกลมกล่อมแค่ไหนเท่านั้น ซึ่งก็รวมถึงสี่เรื่องที่เอ่ยไว้ในย่อหน้าแรกด้วยเช่นกันที่กลายเป็นแม่พิมพ์

และท่านผู้ชมหากต้องการดูซีรีส์แนวบ้าพลังลึกลับซับซ้อนพลิกล็อกต้องดูเรื่องนี้ (หากยังไม่เคยดูหรือใครชอบดูซีรีส์แนวนี้แต่ไม่ได้ดูคงเสียดายในใจ ) บอกตามตรงว่าแฟนละครส่วนใหญ่น่าจะเคยดูมาบ้างแล้วเพราะเป็นซีรีส์เรื่องหนึ่งที่ไม่ดูถือว่าพลาด ส่วนใครที่คิดว่าละครเกาหลีมีดี แค่แวบเดียว หวานซึ้ง หรือยังคงความเกี่ยวข้องอย่าง ผู้เขียนกลับมีอคติ ลองดูสิ่งนี้ด้วยใจที่เปิดกว้าง เพื่อเป็นตัวอย่างว่าทัศนคติอาจเปลี่ยนไปอย่างไร เนื่องจากมาจากเรื่องราวที่มีบทแน่นมาก เข้มข้นมาก และกลยุทธ์การเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใคร จึงเป็นงานหนัก และแต่ละตอนเข้าถึงได้และสนุกสนาน และโดยส่วนตัวแล้วเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ผู้เขียนได้อ่านซ้ำสองรอบ (เคยดูคนเดียวและดูกับสาวใช้อีกครั้งเพราะอยากให้เธอดู) คนดูก็จริงจังบ่นเหมือนผู้เขียนแต่ก็ยังหาจุดบกพร่องไม่ได้

Signal

ความรู้สึกหลังดูจบ สัญญาณลับ ล่าข้ามเวลา

โอ้โห!!! สมคำร่ำลือจริงๆ ฮะ ดำเนินเรื่องได้ดีมากๆ บทดี เดินเรื่องไว ตื่นเต้น และสนุกมากๆ แต่ละตอนชวนให้ติดตามเรื่อยๆ เลยฮะ

ซีรีส์เล่าเรื่องราว 2 ช่วงเวลา ผ่านตัวละครหลัก 2 ตัวคือ พัคฮเยยอง และ อีแจฮัน ซึ่งจุดนี้เองที่อาจจะกลายเป็นจุดอ่อนสำหรับคนที่ไม่ชอบหนัง/ซีรีส์ที่เล่าสลับช่วงเวลาไปมาแบบนี้ และที่สำคัญคือ สำหรับตัวละคร อีแจฮัน นั้น ก็ไม่ได้อยู่แค่ในช่วงเวลาเดียวเท่านั้น เพราะเรื่องราวของเขานั้น จะย้อนไปเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ในช่วงปี 1989-2000 เลยทีเดียว
ซึ่งช่วงแรกๆ ที่ดู ก็ลุ้นอยู่เหมือนกันว่าซีรีส์จะมองข้ามเรื่องของกฎการเปลี่ยนแปลงอดีต ประเภท Butterfly Effect หรือเปล่านะ แต่สรุปคือไม่หลุดฮะ เก็บรายละเอียดในส่วนนี้ได้ดีพอสมควร

สิ่งหนึ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก แค่กล้าเล่นคอรัปชั่น ข้าราชการระดับสูงลุแก่อำนาจ ถ้าแบบนี้ บ้านเราคงไม่มีให้เห็น หรือถ้าใครทำก็อาจจะโดนแบนตามระเบียบ ทั้งๆ ที่รู้ๆ กันอยู่ว่ามันมีอยู่ในสังคมเรา แต่มันจะไม่พูด

แต่จุดนึงที่ไม่ชอบมากๆ ก็จะมี 2 จุด น่าจะเป็น 4 EP สุดท้ายที่ยืดไปหน่อย แทนที่ด้วยอารมณ์ของภาพยนตร์ซึ่งกำลังจะถึงจุดไคลแม็กซ์ แต่กลับยืดและโอเวอร์โหลดฉากดราม่าจนรู้สึกเหมือนถูกผลัก อีกประเด็นคือตอนจบรู้สึกไม่จบ ไม่ใช่ว่าอารมณ์ไม่จบเหมือนไปต่อไม่ได้ แต่มันจบ เหมือนยังไม่จบ มันจบแล้ว. ไม่ชัดเจนจนฉันอยากจะขอให้ผู้กำกับขอให้เขาเริ่มตอนใหม่ได้โปรด?

รีวิวซีรี่ย์เกาหลี จาก netflix Signal

สำหรับ สัญญาณลับ ล่าข้ามเวลา พากย์ไทย ผมไม่ได้ตามหาข้อมูลมาก่อนว่าซีรีย์เรื่องนี้มีรางวัลอะไร แต่ผมตามมาเพราะนักแสดงอย่างอีเจฮุนล้วนๆ เลยนั่นเองครับ (หัวเราะ) แต่ปรากฏว่า เพียงแค่ 1 ตอน…ย้ำนะครับ ว่าแค่ 1 ตอนที่ได้ดูเท่านั้น ผมก็ตัดสินใจที่จะดูซีรีย์เรื่องนี้ต่อแบบยาวๆ ทันที และผมก็ใช้เวลาแค่ 3 วันในการจัดการเสพซีรีย์เรื่องนี้จนจบ ด้วยความยาว 16 ตอน ซึ่งสามารถรับชมได้ใน Netflix ครับ

สิ่งที่เกิดขึ้นใน Secret Signal Time Hunt อย่างแรกและสำคัญที่สุดคือโครงเรื่อง มันแฟนซีเล็กน้อย การแต่งเติมทำให้เรื่องราวดูน่าตื่นเต้นขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็ได้กลิ่นอายของซีรีส์นักสืบไปเสียหมด ไม่แฟนตาซีมาก เรียกได้ว่าซีรีส์นักสืบยังมาเต็ม สนุกพอๆกับดาวพุธ สิ่งหนึ่งที่เพิ่มความสนใจอย่างมาก นั่นคือการนำเสนอกรณีที่เกิดขึ้นจริง ให้เข้ากับโทนเรื่องและร้อยเรียงนำเสนอได้อย่างสนุกเหลือเชื่อ ซึ่งแต่ละคดีล้วนเป็นคดีที่เรียกได้ว่าสะเทือนขวัญคนเกาหลีทั้งประเทศ นั่นเป็นเหตุผลที่ซีรีส์นี้ได้รับความสนใจอย่างมาก คำติชมและคุณภาพสามารถชำระได้ นี่เรียกว่าราคายุติธรรม

อีกอย่างที่ผมไม่พูดถึงซีรีส์ภาคพากย์ Signal ไม่ได้ก็คืองานด้านภาพ เรียกได้ว่าการนำเสนอหน้าจอทำได้ดีมาก อาจไม่จำเป็นต้องสื่อสารผ่านเพลงหรือคำพูด แค่งานกราฟิกที่คุณนพแสดงก็ทำเอาผมใจละลายแล้ว ยิ่งได้ผลงานภาพเจ๋งๆ ผสมผสานการตามล่าและรับมือสถานการณ์สุดขั้ว สองความสุดขั้วนี้จึงมารวมกันอยู่ในซีรีส์นี้ ไม่แปลกใจเลยจริงๆ ที่คว้ารางวัลมากมาย หวังว่าคุณคงได้ลองสัมผัสด้วยตัวคุณเอง ว่าจะเดือดขนาดไหน โดยเรื่องนี้ จะแบ่งเป็นตอนๆ ละ 16 ตอน ไปดูกันเลย สนุกทุกแบบ และความตื่นเต้นอย่างต่อเนื่องรวมถึงการสานปมเรื่องราวที่สมเหตุสมผลไปสู่จุดจบที่สมบูรณ์แบบ ฉันไม่ได้เสียเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ 10/10 สำหรับการเคาะประตูซ้ำๆ คุณสามารถดูได้ด้วยตัวคุณเอง คุณจะพบฉันโม้เกี่ยวกับทั้ง 16 ตอนบน Netflix ในตอนนี้ … เจอกันรีวิวหน้า สวัสดี!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *