รีวิวซีรี่ย์ netflix ชื่อดัง squid game

สวัสดีค่ะ ทางเรา รีวิวซีรี่ย์netflixยอดนิยม มีซีรี่ย์ดังมาแนะนำค่ะ เรื่อง squid game เป็นซีรี่ย์แนวเซอร์ไววัล ให้คนมาแข่งขันกันโดยมีความตายเป็นเดิมพัน เพื่อชิงเงินรางวัล 45,600 ล้านวอน เป็นการเล่นเกมที่ง่ายๆที่เด็กๆเล่นกัน สนุก ๆ แต่ถ้าแพ้จะตายทันที สนุกไหม? ซีรี่ย์ให้ความรู้สึกลุ้นระทึก ตื่นเต้น รวม ๆ แล้วบอกเลยว่าสนุกมาก ใครที่ยังไม่ได้ดู สามารถหาดูได้ที่เว็บหนังhd ได้ค่ะ

งานอาร์ตไดเรกชั่น มุมกล้องและการจัดแสงที่โดดเด่น เพลงประกอบที่ชวนกดดันและเพิ่มความเหนือจริงและความหมายแฝงที่อัดแน่นในทุกอณูทำให้ยิ่งดูยิ่งเห็นภาพของชีวิตจริงซ้อนทับกับเหตุการณ์ในเรื่อง เพราะทุกด่านและกฏกติกาต่างเป็นภาพสะท้อนของโลกภายนอก

เรื่อง Squid Game สะท้อนสังคม เริ่มมาด้วยการปูให้เห็นสังคมที่สะท้อนถึง ‘นรกโชซอน’ คำที่คนรุ่นใหม่ในเกาหลีใช้เรียกประเทศตัวเองที่ไม่ว่าจะพยายามให้ตายแค่ไหนก็ยากที่จะหลุดพ้นจากความจนได้ ผ่านทางสายตาของ ‘ซองกีฮุน’ (รับบทโดย อีจองแจ) ชายผู้ล้มเหลวในชีวิต คนต้องฝากความหวังไว้กับการรวยจากดวงอย่างการเล่นพนันม้า และแม้ว่าเขาจะโชคดีได้เงินมา แต่หนี้สินก็ทำให้เขาไม่มีวันลืมตาอ้าปากได้

จนสมัครเข้าร่วมเล่นเกมเพราะมันคือความหวังสุดท้ายของการหลุดพ้นแม้อาจจะต้องเจอนรกอีกขุมก็ตาม เช่นเดียวกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ซึ่งต่างก็เป็นคนตัวแทนของกลุ่มคนที่ถูกสังคมทุนนิยมต้อนให้จนตรอกในวงจร จน เครียดเป็นหนี้ซ้ำซ้อนไปมาในขณะที่พวกเขาพยายามจะต่อสู้เพื่อจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม เช่น

  • ซองกีฮุน 456 – ตัวแทนของชนชั้นแรงงาน (blue collar) เรียนไม่จบมัธยมถูกให้ออกเพราะบริษัทต้องการลดคน พยายามทำธุรกิจแต่ก็เจ๊งติดหนี้หัวโต ครอบครัวแตกแยก
  • โจซังอู 218 (รับบทโดย พัคแฮซู) – ตัวแทนของพนักงานออฟฟิศ (white collar) บ้านไม่มีฐานะนัก เรียนจบมหาวิทยาลัยชั้นนำและต้องการหนีให้พ้นชีวิตของชนชั้นกลางแต่ก็ล้มเหลว
  • อาลี 199 (รับบทโดย อนุพัม ตรีปาที) – ตัวแทนของแรงงานต่างด้าว ชนชั้นล่างสุดในปีรามิด

เมื่อมองดูโลกของเกมทั้งหมดว่าเป็น ‘ประชาธิปไตย’ มันมีความเสมอภาคมากกว่าภายนอกมาก กฎง่ายๆ เพียง 3 ข้อ: อย่าหยุดเกมตามใจ ผู้เล่นที่ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในเกมจะถูกตัดออก และหากมีผู้เล่นมากกว่าครึ่งเห็นด้วย เกมสามารถหยุดได้ ไม่มีการลงทะเบียนบังคับในการเล่นเกมทุกคนสวมเสื้อผ้าเหมือนกันได้รับอาหารเหมือนกัน

และเล่นเกมภายใต้กฎเดียวกัน แต่ถ้ามองให้กว้างกว่านี้มันคือความเท่าเทียมที่ผิดพลาดเพราะในขณะที่ผู้เล่นกำลังขึ้นบันไดเพื่อทำหน้าที่ของตนก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งใช้ทางลัดไปที่ลิฟต์เหนือพวกเขา เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองสวมชุดสีชมพูที่ปิดหน้าและทำงานอย่างจริงจังโดยไม่มีความคิดเห็น “คนหน้า” ปฏิบัติตามกฎและรายงานต่อผู้ชม “วีไอพี” ภายใต้หน้ากาก “ให้โอกาส” แม้ว่าการทำเช่นนั้นจะป่าเถื่อนพอๆกับเรื่องเล่าทวงหนี้ในตอนต้นเรื่อง

เรื่องย่อ

Squid Game เรื่องย่อ ซงกีฮุน (อีจุงแจ) คือมนุษย์ผู้ล้มเหลวในชีวิตที่เปิดตัวมาพร้อมกับชีวิตที่เหลวแหลกเต็มที่เมื่อเขาเองยังอยู่บ้านแม่ผู้ชรา และแม่ให้เงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการพาลูกสาวที่อยู่กับภรรยาเก่าไปทานข้าววันเกิด แต่กีฮุนกลับขโมยกดเงินในบัญชีแม่ไปเล่นพนันม้าแข่งแล้วก็ตามมาด้วยหายนะ เมื่อสิ้นไร้หนทางเขาก็ได้เจอกับชายลึกลับ(กงยู) ที่มาท้าให้เล่นเกมแล้วมอบนามบัตรประหลาดให้เขาและนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่สังเวียนเกมที่มีผู้เล่น 456 คนซึ่งกีฮุนคือผู้เล่นคนสุดท้าย ด้วยกติกาง่ายๆคือเอาชีวิตให้รอดในการเล่นแต่ละเกมไปเรื่อยๆ จนเหลือผู้ชนะคนสุดท้ายจะได้รับรางวัลเป็นเงินมหาศาล

และทุกคนที่เข้ามาอยู่ในเกมก็คือคนที่อับจนในการใช้ชีวิตที่ต่างกันไป และที่นั่นกีฮุนก็ได้เจอกับโจซังอู(พัคแฮซู) รุ่นน้องที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กที่เป็นความภูมิใจของย่านซังมุนดง  ในที่สุดเกมที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพันก็ได้เริ่มขึ้นแต่…ความตายที่สยดสยองของผู้เล่นเกมที่ไม่ผ่านก็ทำให้เหล่าผู้เล่นกลัวจนโหวตกันเพื่อยุติเกม ทว่าการออกมาจากพื้นที่เล่นเกมเหล่าผู้เล่นก็ได้พบกับความจริงที่ว่าโลกไม่มีความปราณีกับพวกเขาเลย ถึงที่สุดเมื่ออยู่ในโลกแห่งความจริงก็ไม่ต่างจากตายไปแล้ว เหล่าผู้เล่นจึงยอมกลับมาสู่เกมชีวิตนี้อีกครั้ง ซึ่งนอกจากกีฮุนกับซังอูแล้วยังมีผู้เล่นที่บุคลิกที่น่าสนใจอีกหลายราย

เช่น คังแซบยอค(จองโฮยอน) หญิงสาวชาวเกาหลีเหนือที่เคยล้วงกระเป๋ากีฮุน ชายชราที่ป่วยสมองเสื่อมที่จำชื่อตัวเองยังไม่ได้(โอยองซู) รวมถึงจางด็อกซู(แฮซุงแท) นักเลงชั้นต่ำที่หักหลังได้กระทั่งลูกน้อง ฮันมีนยอ (คิมจูรยอง) มนุษย์ป้าปากปลาร้าที่มีที่มาไม่เด่นชัด  และอาลี(อานุภาม ทรีปาตี) แรงงานต่างด้าวชาวปากีสถาน ที่ต้องมาร่วมเกมนี้เพื่อเงินรางวัลเปลี่ยนชีวิตตัวเองและครอบครัว อีกด้านหนึ่งสายสืบฮวังจุนโฮ(วีฮาจุน) ที่กำลังสืบหาพี่ชายที่หายสาปสูญไปก็สงสัยอะไรบางอย่างจึงได้แอบเข้าไปเป็นพนักงานในเกมเพื่อสืบความจริงว่าอะไรคืออะไร

แล้วเกมก็เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางการใช้สันดานดิบของมนุษย์มาเป็นตัวขับเคลื่อนเมื่อผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอดการรวมกลุ่มจึงเริ่มขึ้นเพื่อเกาะกลุ่มคานอำนาจกัน แต่ทว่าสิ่งที่ผู้เล่นหลงลืมไปคือนี่คือเกมที่ต้องแลกด้วยชีวิตไม่คนอื่นตายก็ต้องเป็นตัวเองและผู้รอดชีวิตต้องมีเพียงหนึ่งเดียวและการรวมกลุ่มก็คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ผูกมัดโดยไม่จำเป็น แล้วคนแบบไหนถึงจะเอาชีวิตผ่านไปจนถึงจุดสุดท้ายคนสุดท้าย ที่ความจริงก็ไม่ได้ยากต่อการคาดเดาเพียงแต่บางครั้งของบางสิ่งก็ไม่ใช่ความหมายของทุกสิ่ง เมื่อการผ่านไปจนถึงเส้นชัยต้องแลกกับชีวิตและความรู้สึกข้างในที่ไม่มีวันหวนคืนมา

squid game

Squid Game วิเคราะห์

จะต้องมีเรื่องราว squid game เต็มเรื่อง เพียงเกมเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือวิธีการก็ตาม มันจะมีเส้นหนาเสมอ และตอนดูเรื่องนี้ก็เป็นกิจวัตรเดิม ๆ มาตลอด แล้วก็มีภาพผลงานอย่าง Alice Borderlands , The Hunger Games หรือผลงานที่ต้องห้ามพลาดอย่าง Battle Royale ที่จะทิ้งท้ายไว้ว่าจะเป็นใคร เป็นผู้ชนะ? ยิ่งได้ข่าวมาว่านี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนรักใคร่และแสดงบทบาทของคนรักในวัยเด็กก็ยิ่งต้องคาดเดาน้อยลง เพราะมันชัดเจนรวมถึงตัวละครที่รู้ว่าจะไปที่ไหนเพราะสีของตัวละครนั้นชัดเจน

ด้วยชั้นเชิงที่เล่นมาจนปรุแล้ว ในเรื่องของไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่มิลลิเมตร ซึ่งเรื่องที่เก่าเก็บแบบนี้ถ้าจะให้ได้ผลดีบทต้องมีความน่าเชื่อถือหรือแน่น พอที่จะมองไม่เห็นหรือ มองข้ามจุดเล็กจุดน้อยได้ซึ่งเรื่องนี้เป็นอย่างหลัง เมื่อยังมีจุดเล็กจุดน้อยที่ยังขาดนิดเกินหน่อยแต่ที่ยังออกรสอร่อยจนลืมมองไปก็คือชั้นเชิงและลูกเล่นเดิม ๆ

ได้ถูกปล่อยออกมาถูกจังหวะเวลา บางอย่างก็ต้องบอกว่าเข้าใจเล่นเช่นเกมแผ่นน้ำตาลจึงกลายเป็นความเร้าใจตามสูตรที่กดสูตรติด แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ดูแปลกตาไปคือลูกล่อลูกชนที่ปะทะกับอารมณ์คนดูเป็นพักๆมีจังหวะบีบจังหวะคลาย เช่นเมื่อเข้าไปในเกมแล้วยังสามารถตัดสินใจออกมาได้เพื่อมาเจอกับความจริงที่โหดร้าย

และมันคือดราม่าที่มาตรงๆไม่มีแอบแต่เล่าบนความหมายแฝงในเรื่องของสังคมเมื่อทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง แล้วเหตุผลนั้นก็มีจุดเริ่มต้นที่ต่างกันไปตามอุปนิสัยของตัวละคร  มันคือการทาสีตัวละครอย่างที่เอ่ยมาแล้วให้คนดูตัดสินใจว่าถ้าเป็นตัวเองจะกลับไปหรือไม่ แล้วค่อยไปใส่รายละเอียดข้างในด้วยเรื่องของสันดานดิบของมนุษย์

แล้วสีของตัวละครที่ถูกทานั้นก็มอบลักษณะตัวละครให้คนดูรู้สึกรักเฉยๆ และเกลียดที่ส่งผลต่ออารมณ์คนดูเมื่อถึงเวลาที่ต้องบีบ อีกส่วนที่ทำให้พลังยังดี ไม่มีตกจนบางคนอาจสามารถดูรวดเดียวจบได้คือความไม่ถนอมน้ำใจเพราะนี่คือเกมที่วัดกันด้วยชีวิตบทจึงชี้นำให้คนดูรู้สึกผูกพันและมีหัวใจยึดติดกับตัวละครเพื่อพาไปยังหน้าผาแล้วผลักลงมา

ดูเหมือนจะจงใจแต่จงใจทำให้มิติของเรื่องยาวขึ้นเมื่อมีคนไม่พอใจธรรมชาติดั้งเดิมที่ซ่อนอยู่สามารถมีใบหน้าคล้ายกับหน้ากากที่ทุกคนสวมในสังคมปัจจุบัน แต่เด็กแบบเด็กๆ อาจส่งผลต่อบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในเรื่องราวจนผู้ชมต้องตกตะลึงในตอนจบ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผู้ชมเดาได้ แล้วเรื่องราวก็ง่ายขึ้น เนื่องจากเป็นเรื่องราวที่ตรงไปตรงมา

การไม่พลิกกลับทำให้คุณรู้สึกเหมือนหลีกเลี่ยงการสปอยล์สิ่งอื่นๆ ระหว่างทางคือการมอบความประหลาดใจและความตื่นเต้นอย่างต่อเนื่องเป็นไปได้ที่ จะบีบให้ตายเพื่อผ่อนคลายเพื่อเอาชีวิตรอดโดยเล่นกับความรู้สึกอย่างต่อเนื่องจนถึงวินาทีสุดท้ายแต่อารมณ์คนดูจะสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานการถูกบีบ

squid game

ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน

หลายความเห็นอาจมองว่าเกมปลาหมึกในด่านสุดท้ายอาจไม่เร้าใจสมเป็นจุดไคล์แมกซ์ของเรื่อง แต่ความหมายที่แฝงไว้นั้นเข้มข้นสมเป็นด่านสุดท้าย โดยการให้ซองกีฮุนจากชนชั้นแรงงานเป็นฝ่ายบุก ที่ต้องกระโดดขาเดียวไปจนกว่าเขาจะข้าม ‘คอปลาหมึก’ เขาจึงจะเดินสองขาได้เหมือนโจซังอูจากชนชั้นกลางที่คอยตั้งรับและรักษาเขตแดน

และเขาจะชนะหากต่อสู้จนได้ไปยืนอยู่ที่ยอดของสามเหลี่ยมบนตัวปลาหมึกเป็นการสรุปการต่อสู้ของชนชั้นแรงงานที่พยายามข้ามอุปสรรค และ ความไม่เท่าเทียมของชนชั้นไปสู่จุดจูงสุดผ่านการละเล่นได้อย่างแยบยล และ ภาพของความยุติธรรมที่เกมสร้างไว้ก็พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ในฉากนั้นเอง

 

ในความเห็นส่วนตัวผู้เขียนเลยคือนี่คืองานด้านบทที่ไม่ได้เลิศหรูจนไร้ที่ติมีบางเรื่องที่ตัดทิ้งได้เช่นเรื่องของการค้าอวัยวะ เรื่องของการสืบหาตัวพี่ชายที่เหมือนจงใจให้มาเป็น ความน่าสงสัยระหว่างทางหรือเรื่องบางเรื่องก็ถูกบอกเล่าอย่างเบาบางไป การเล่าเรื่องก็เดินตามสูตรเกินไปหรือเรียกง่าย ๆ ว่ายังขาด ๆ เกิน ๆ อยู่บ้าง แต่สิ่งเหล่านั้นก็มองข้ามไปได้ด้วย

ความสนุกเร้าใจ และ สิ่งที่พาไปได้ถึงจุดนั้นได้คงต้องคารวะเรื่องของการแสดงง่ายๆเลยในตอนแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นการเจอกันของกงยูกับอีจุงแจที่ต้องเรียกว่าเป็นการเผชิญหน้าแห่งความทรงจำหรือเป็นนาทีทองของเรื่องเลยก็ว่าได้ถ้าว่ากันที่เรื่องของการประจันหน้ากันของสองยอดนักแสดง เพราะมันดูลื่นไหลเชื่อถือได้แม้ว่าจะมีมาแค่ไม่กี่นาที

หลังจากนั้น ขอยกไม้ให้ Lee Jung-jae และ Park Hoo-soo ที่ไม่เคยพลาดที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมที่ชื่นชอบการเล่าเรื่องด้วยการแสดงสุดดาร์กของพวกเขา อักขระทั้งสองดูเหมือนจะเป็น แต่มีการโพลาไรซ์อย่างชัดเจน และให้หัวใจของผู้ชมรู้สึกว่าควรไว้วางใจใครเพราะการแสดงที่ไม่น่าเชื่อถือของนักแสดงทั้งสองน่าเสียดายที่ไม่พูดถึงมิติตัวละครมากกว่านี้จะทำให้อรรถรสในการรับชมเสียไป อย่างไรก็ตามใครก็ตามที่ได้ดูจะรู้ว่ามิติตัวละครของทั้งสองทำให้เรื่องราวดำเนินไปสู่ตำแหน่งที่แข็งแกร่งยกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อคุณต้องยิ้มขณะถ่ายรูป คุณคิดว่าเป็นการยิ้มจริงหรือจงใจ

squid game

การแสดงของนักแสดงเรื่องนี้

ว่ากันที่เรื่องของการแสดงพาบทไปเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นเบอร์ต้น ๆ เช่นความสัมพันธ์เพียงไม่กี่อึดใจของแซบยอคกับจียองที่มีเวลาเล่าเพียงไม่กี่นาที แต่คนดูรู้สึกได้ว่าสื่อสารกันได้ด้วยใจจริงๆผ่านการแสดงของจองโฮยอนกับอียูมี

และที่น่าทึ่งคือสำหรับคนแรกนี่คืองานแสดงชิ้นแรกของเธอ หรืออย่างอีบยองฮอนที่อาจไม่มีอะไรให้เล่นมากแต่ก็มีนาทีที่น่าจดจำที่ริมหน้าผาและที่มองข้ามไม่ได้คือการแสดงของคุณปู่โอยองซูที่แสดงให้เห็นว่านักแสดงอาวุโสเต็มไปด้วยฝีมือการแสดงระดับสูงและเรื่องนี้คุณปู่มอบความน่าสงสัยปนน่าสงสารแต่ก็ดูอบอุ่นได้อย่างน่าจดจำ

หรือกระทั่งนักแสดงสมทบคนอื่นๆที่ไม่ว่าใครที่มามีบทพูดแม้ไม่กี่วินาทีก็รู้สึกได้ว่าไม่ใช่การแสดง เพราะเอาตามจริงคือทุกคนที่มาเล่นเรื่องนี้ไม่ใช่จะเล่นกันได้ง่าย ๆ การสื่อสารออกมาถึงความสิ้นหวัง ความหดหู่ ความหวาดกลัวในแววตาต้องทำให้เชื่อให้ได้ทุกคนไม่ใช่แค่นักแสดงหลัก แต่ใครก็ตามที่กล้องไป จับภาพใบหน้าคนดูจะไม่รู้สึกว่านี่คือ

การแสดงเพราะแม้กระทั่งบทเล็กบทน้อยก็ยังสื่อในสิ่งที่บทต้องการได้นับว่านี่คือเรื่องที่มีการแสดงที่จัดจ้าน และ ละเอียดมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ซึ่งมันทำให้ความเร้าใจมันเกิดได้ และ ทวีความแรงขึ้นได้เมื่อสถานการณ์บีบเพราะคนดูเชื่อได้สนิทใจว่าพวกเขารู้สึกเช่นนั้นจริง กลัวจริง สิ้นหวังจริง และมีหัวใจจริง ๆ

squid game สปอยตอนจบ

มันคุ้มค่าที่จะสนุกสนาน เพราะคนเขียนเองก็อายุไม่น้อยต้องทรมานร่างกายอยู่นานกว่าจะจบเก้าตอนก็ดึกดื่นแต่ตอนจบ ก็ยังรู้สึกว่าเนื้อเรื่องหลักไม่มีแม้แต่จะเลี่ยง สปอยล์ที่ควรเดา แต่สิ่งที่ควรซ่อนไว้คือรายละเอียดปลีกย่อยที่มีปัจจัยหรือตัวแปรมากกว่าความคิด

การตัดสินใจ และความน่าเชื่อของตัวละคร คือควรหยิบเอาเรื่องเก่ามาเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ดูน่าสนใจ มีรายละเอียด ส่วนหนึ่งของความสนุกและความตื่นเต้นคือมันเป็นไอเท็มที่ต้องมีในประเภทนี้ ปัญหาของการต้องเอาชีวิตรอดปัญหาเรื่องเวลา พื้นที่คับแคบ ความสูง กระจก บัตรผ่านเป็นตัวกำหนดความยากของเกม ของแบบนี้ต้องเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในสูตร

แต่จะได้ผลในระดับไหนมันอยู่ที่จังหวะและลูกล่อลูกชนซึ่งเรื่องนี้จัดว่าสอบผ่านฉลุย เพราะทีแรกผู้เขียนเองก็กะจะทยอยดูดันกลายมาเป็นดูรวดเดียวจบ และส่วนหนึ่งที่ต้องยอมรับคือการแสดงพาไปได้มากด้วยเช่นกัน เพราะตั้งแต่แรกเริ่มการแสดงของอีจุงแจก็สะกดผู้ชมได้แล้วเพียงแต่นั่นมันคือสิ่งที่เห็นมาจนชินจากผลงานของเขา

แต่ทันที่ที่อีจุงแจเจอกับกงยูความรู้สึก จึงไม่ต่างจากการดวลกระบี่ของสองยอดจอมยุทธ แล้วพอเข้าสู่เกมอีจุงแจต้องมาตัดกับพัคแฮซูที่ไม่ได้น้อยหน้าในเรื่องการแสดง มันจึงเป็นมิติที่ดูดีขึ้นมากเพราะการแสดงที่ยอดเยี่ยมจนเชื่อได้จะพาผู้ชมไปถึงจุดหมายได้

ทำให้ตอนจบของซีซั่น หน้าน่าจดจำโดยมองข้ามบางประเด็นที่แทรกเข้ามาแบบซ้ำซ้อนหรือว่าเนื้อเรื่องเริ่มดิบในครึ่งหลังแล้วกลายเป็นงานเอาชีวิตรอดเต็มตัวก่อนจะกลับมาอย่างเฉลียวฉลาดในตอนสุดท้ายเพราะบางครั้งก็มี

ตัวละครดีในบางเรื่องแต่ฝีมือการแสดงแย่ไปหน่อยจะทำให้คนดูเบื่อ เพราะคนไม่เชื่อหรือบทที่ดูไม่ดีแต่ได้การแสดงดี ๆ มาปรับปรุง มันก็ดูดีขึ้น แต่ถ้าบทดีพอ การแสดงโอเค มันก็เปลี่ยนเรื่องที่เคยสนุกให้กลายเป็นความสะใจ สำหรับเรื่องนี้เนื่องจากการจราจรนี่เป็นผลงานชิ้นเอกอีกเรื่อง หนึ่งที่ควรค่าแก่การดู

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *